แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887วรรคหนึ่งผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะต้องรับผิดในวินาศภัยที่เกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง ก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบสำหรับวินาศภัยที่เกิดขึ้นนั้น
โจทก์ฟ้องว่า จ. ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาทชนรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย โจทก์ซ่อมแซมความเสียหายแล้ว จึงฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งรับประกันภัยค้ำจุนรถคันที่ชนร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า ก. เป็นผู้เอาประกันภัยรถคันที่ชนไว้กับจำเลยที่ 2 มิใช่จำเลยที่ 1 เป็นผู้เอาประกัน ส่วน จ. เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มิได้เป็นลูกจ้างของ ก. ด้วยทั้งโจทก์ก็มิได้นำสืบว่า ก. มีส่วนจะต้องรับผิดในวินาศภัยที่เกิดขึ้นอย่างไร การที่ ก. เป็นแต่เพียงผู้เอาประกันภัยจะถือว่า ก. ต้องเป็นผู้รับผิดชอบในวินาศภัยที่เกิดขึ้นด้วยไม่ได้ เมื่อ ก. ผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดชอบในผลแห่งการละเมิดที่จะก่อให้เกิดขึ้นแล้ว จำเลยที่ 2ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเช่นกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิตบุคคลรับประกันภัยรถยนต์เก๋งคันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ฑ 1974 ไว้จากนายสมพร เจียรพร จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ฬ 0109 และเป็นนายจ้างของนายจันทร์ โคมีศิลป์ จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลรับประกันภัยรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ฬ 0109 ไว้จากจำเลยที่ 1 เป็นการรับประกันภัยแบบรับผิดชอบชดใช้ความเสียหายแก่บุคคลภายนอก เมื่อวันที่ 8 เมษายน2516 นายจันทร์ โคมีศิลป์ ลูกจ้างในขณะปฎิบัติหน้าที่ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์บรรทุกคันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ฬ 0109ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวัง เป็นเหตุให้ชนท้ายรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ฑ 1974 เสียหาย โจทก์ได้จัดการซ่อมแล้วจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนต้องรับผิดต่อโจทก์โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันและแทนกันใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยรับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ฬ 0109 ไว้จากจำเลยที่ 1 และนายจันทร์ โคมีศิลป์ ขับรถยนต์โดยไม่มีใบอนุญาตให้ขับขี่ ผิดเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย นายสมชาย เจียรพรผู้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ฑ 1974 ขับรถยนต์โดยประมาทแต่ฝ่ายเดียว จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่าขณะเกิดเหตุ นายจันทร์ โคมีศิลป์หรือโตมีศิลป์ลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ฬ 0109ในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 โดยประมาทชนรถยนต์ คันหมายเลขทะเบียนก.ท.ฑ 1974 ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย โจทก์จ่ายเงินค่าซ่อมรถยนต์คันที่รับประกันภัยไปแล้ว นางสาวแก้วตา พึ่งกุศล เอาประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ก.ท.ฬ 0109 ไว้กับจำเลยที่ 2 ประเภทสัญญาประกันภัยค้ำจุน ปรากฏตามสำเนากรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.17 สัญญาประกันภัยยังไม่สิ้นอายุ จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 วรรคหนึ่ง ซึ่งบัญญัติว่า “อันว่า ประกันภัยค้ำจุนนั้นคือสัญญาประกันภัย ซึ่งผู้รับประกันภัยตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง และซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ” จำเลยที่ 1 ไม่ใช่ผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียนก.ท.ฬ 0109 กับจำเลยที่ 2 และนายจันทร์ โคมีศิลป์หรือโตมีศิลป์เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มิได้เป็นลูกจ้างของนางสาวแก้วตา พึ่งกุศล ผู้เอาประกันภัยด้วยจำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยจะรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย ต่อเมื่อวินาศภัยที่เกิดขึ้นนั้น นางสาวแก้วตา พึ่งกุศลผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดด้วยแต่โจทก์มิได้นำสืบว่า นางสาวแก้วตา พึ่งกุศล ผู้เอาประกันภัยมีส่วนจะต้องรับผิดในวินาศภัยที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด เพียงแต่เป็นผู้เอาประกันภัย จะถือว่าต้องเป็นผู้รับผิดชอบในวินาศภัยที่เกิดขึ้นด้วยหาได้ไม่ ดังนั้นนางสาวแก้วตา พึ่งกุศล ผู้เอาประกันภัยจึงไม่ต้องรับผิดชอบในผลแห่งการละเมิดที่นายจันทร์โคมีศิลป์หรือโตมีศิลป์ก่อให้เกิดขึ้น เมื่อนางสาวแก้วตา พึ่งกุศลผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเช่นกันไม่จำต้องวินิจฉัยข้อที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่านายจันทร์ โคมีศิลป์ หรือโตมีศิลป์ขับรถยนต์โดยไม่มีใบอนุญาตขับรถยนต์ ผิดเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิด ฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์