แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วในคดีแพ่งย่อมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 แม้จำเลยจะถูกฟ้องล้มละลาย จำเลยก็จะต่อสู้ว่าคำพิพากษาดังกล่าวไม่ถูกต้องไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ต่อมาจำเลยทราบคำบังคับและศาลออกหมายบังคับคดีแล้ว จำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ กรณีต้องสันนิษฐานตาม พระราชบัญญัติ ล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 8(5)ว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวโดยที่โจทก์ไม่จำเป็นต้องไปยึดทรัพย์จำเลยก่อน.(ที่มา-ส่งเสริม)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น แต่จำเลยทั้งสามในคดีดังกล่าวมิได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ได้บังคับคดีโดยยึดทรัพย์ผู้ค้ำประกันมาขายทอดตลาดแต่ยังได้เงินไม่เพียงพอชำระหนี้ เมื่อรวมทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยแล้วจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาอยู่อีก 230,878.42 บาท และค่าฤชาธรรมเนียมที่จำเลยต้องใช้แทนโจทก์4,297.50 บาท จำเลยเป็นหนี้โจทก์ทั้งสิ้น 235,175.92 บาท จำเลยไม่มีทรัพย์ใดจะพึงยึดมาชำระหนี้ได้พฤติการณ์ของจำเลยต้องตามข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์จำนวนตามคำพิพากษาเพราะบัญชีเดินสะพัดไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง จำเลยไม่ใช่บุคคลซึ่งมีหนี้สินล้นพ้นตัว ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษามีจำนวนไม่น้อยกว่า 50,000 บาท เป็นหนี้ที่มีจำนวนแน่นอน จำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ จำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว จึงมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘มีปัญหาว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวนเท่าใด ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติว่า เดิมจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 136,695.72 บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขดำที่131/2520 ของศาลชั้นต้น และโจทก์นำสืบว่าได้บังคับคดีผู้ค้ำประกันได้เงิน 97,800 บาท เมื่อหักหนี้แล้วจำเลยคงเป็นหนี้230,878.42 บาท จำเลยต่อสู้ว่าคำพิพากษาดังกล่าวไม่ถูกต้อง เพราะบัญชีเดินสะพัดของโจทก์ลงรายการผิดพลาดทำให้จำนวนหนี้เพิ่มขึ้นโดยไม่เป็นความจริง เห็นว่า คำพิพากษาดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ย่อมผูกพันจำเลยซึ่งเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 แม้จะเป็นคดีล้มละลายจำเลยจะโต้เถียงว่าคำพิพากษาดังกล่าวไม่ถูกต้องไม่ได้ ต้องถือว่าหนี้ตามคำพิพากษาเป็นหนี้ที่แท้จริงและถูกต้องข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ 230,878.42 บาทตามที่โจทก์นำสืบ ส่วนปัญหาว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่จำเลยนำสืบยอมรับว่าจำเลยไม่มีทรัพย์สินใดๆ ส่วนข้ออ้างที่ว่ามีรายได้จากค่านายหน้าและเงินเดือน เดือนละ 10,000 บาท ก็เป็นแต่เพียงข้ออ้างลอยๆ ฟังไม่ได้ ทั้งคดีแพ่งหมายเลขแดงที่131/2520 ของศาลชั้นต้น จำเลยทราบคำบังคับและศาลออกหมายบังคับคดีแล้ว เมื่อจำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ก็ต้องสันนิษฐานว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8 (5) โจทก์ไม่จำเป็นต้องไปยึดทรัพย์จำเลยก่อนดังฎีกาของจำเลย เพราะเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ไม่น้อยกว่า50,000 บาท เป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้แน่นอนและจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยให้ล้มละลายได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.