คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1815/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหรือไม่.แล้วแต่ฟ้องของโจทก์แต่ละกรณีว่าเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาหรือไม่.
การบรรยายฟ้องว่าจำเลยละเมิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออาจขัดกัน.ไม่ชัดแจ้ง.ในกรณีที่ควรต้องบรรยายให้ชัดแจ้งในทางใดทางหนึ่ง แต่ในบางกรณีก็อาจเข้าใจสภาพแห่งข้อหาได้ชัดแจ้ง.โดยไม่ต้องบรรยายยืนยันโดยตรงมาเช่นนั้น.
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีหน้าที่อย่างไร. และจำเลยไม่ปฏิบัติตามหน้าที่นั้น.โดยโจทก์บรรยายว่า นอกจากจำเลยปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตแล้ว. โจทก์เห็นว่า การกระทำของจำเลยในหน้าที่ยังเป็นการละเมิดให้โจทก์ได้รับความเสียหาย. กล่าวคือ จำเลยมิได้ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนและคำสั่ง ฯลฯ. จำเลยหาได้ปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละคนตามข้อบังคับไม่ ฯลฯ. ซึ่งถ้าจำเลยมิได้ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับและกฎหมายแล้ว. โจทก์จะไม่ได้รับความเสียหายฟ้องของโจทก์ดังนี้. เป็นการแสดงข้ออ้างที่โจทก์อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า.จำเลยละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบข้อบังคับและคำสั่งด้วยประการต่างๆ ตามที่โจทก์อ้างในฟ้อง. ในรูปคดีนี้โจทก์ไม่ต้องบรรยายฟ้องว่า. การละเว้นไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับและคำสั่งนี้. จำเลยได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ก็เป็นการชัดแจ้งพอแล้ว. เพราะข้อสำคัญอยู่ที่จำเลยได้ละเว้นกระทำตามที่ควรกระทำ. โจทก์ยืนยันต่อไปว่า การละเว้นกระทำนี้เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เป็นมูลแห่งสิทธิเรียกร้องฐานละเมิด. อันเป็นสภาพแห่งข้อหาของโจทก์โดยชัดแจ้ง แม้โจทก์บรรยายว่าจำเลยจงใจทำละเมิดหรือร่วมกันยักยอกเงินของโจทก์ไปก็เป็นมูลความรับผิดฐานละเมิดอยู่เพียงพอ. และโดยสภาพการกระทำดังที่โจทก์บรรยายนี้แม้จะบรรยายทั้งจงใจหรือประมาทเลินเล่อ. ก็ไม่เคลือบคลุม.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนายไปรษณีย์โทรเลข จำเลยที่ 2เป็นนายไปรษณีย์โทรเลขตรีผู้ช่วย จำเลยที่ 3 เป็นสมุห์บัญชี จำเลยที่ 4, 5 เป็นพนักงานไปรษณีย์โทรเลข ร่วมกันยักยอกเงินของที่ทำการไปรษณีย์ซึ่งเป็นของโจทก์ไปหลายครั้ง รวม 174,092.51 บาท ขอให้ศาลบังคับให้ร่วมกันใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย จำเลยที่ 1, 3 แถลงรับผิดตามฟ้อง จำเลยนอกนั้นปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 ร่วมกันใช้เงินจำนวนดังกล่าว ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2, 4 และ 5 โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์บรรยายครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 หรือไม่ ต้องแล้วแต่ฟ้องของโจทก์แต่ละกรณีว่าเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาหรือยัง การบรรยายฟ้องว่าจำเลยละเมิดโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออาจขัดกันไม่ชัดแจ้ง ในกรณีที่ควรต้องบรรยายให้ชัดแจ้งในทางใดทางหนึ่ง แต่ในบางกรณีก็อาจเข้าใจสภาพแห่งข้อหาได้ชัดแจ้งโดยไม่ต้องบรรยายยืนยันโดยตรงมาเช่นนั้นคดีนี้ โจทก์บรรยายว่าจำเลยที่ 2, 4, 5 มีหน้าที่อย่างไรและจำเลยไม่ปฏิบัติการตามหน้าที่นั้น โดยโจทก์บรรยายว่า นอกจากจำเลยปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตแล้ว โจทก์เห็นว่าการกระทำของจำเลยในหน้าที่ยังเป็นการละเมิดให้โจทก์ได้รับการเสียหาย กล่าวคือ จำเลยมิได้ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนและคำสั่ง ฯลฯ จำเลยหาได้ปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละคนตามข้อบังคับดังกล่าวไม่ ฯลฯ ซึ่งถ้าจำเลยมิได้ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับและกฎหมายแล้ว โจทก์จะไม่ได้รับความเสียหายฟ้องของโจทก์ดังนี้เป็นการแสดงข้ออ้างที่โจทก์อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบข้อบังคับและคำสั่งด้วยประการต่าง ๆ ตามที่โจทก์อ้างในฟ้อง ซึ่งรูปคดีเช่นนี้โจทก์ไม่ต้องบรรยายว่าการละเว้นไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับและคำสั่งนี้ จำเลยได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ก็เป็นการชัดแจ้งพอแล้วเพราะข้อสำคัญอยู่ที่จำเลยได้ละเว้นกระทำตามที่ควรกระทำ โจทก์ยืนยันต่อไปว่า การละเว้นกระทำนี้ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นมูลแห่งสิทธิเรียกร้องฐานละเมิด อันเป็นสภาพแห่งข้อหาของโจทก์โดยชัดแจ้ง แม้โจทก์จะบรรยายยืนยันว่า จำเลยจงใจทำละเมิดหรือร่วมกันยักยอกเงินของโจทก์ไป ซึ่งทางพิจารณาไม่ได้ความจริงถึงขนาดนั้นก็ตาม ข้ออ้างที่โจทก์ยืนยันมาเช่นที่กล่าวแล้ว ก็เป็นมูลความรับผิดฐานละเมิดอยู่เพียงพอ และโดยสภาพการกระทำดังที่โจทก์บรรยายมานี้แม้จะบรรยายมาทั้งจงใจหรือประมาทเลินเล่อก็ไม่ได้เคลือบคลุมดังได้กล่าวแล้วว่า ข้อสำคัญอยู่ที่การละเว้นไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ เป็นผลให้โจทก์ได้รับความเสียหายเท่านั้น ส่วนข้อเท็จจริงนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ความบกพร่องในการปฏิบัติตามหน้าที่ของจำเลยที่ 2, 4 และ 5 ยังไม่ถึงขนาดที่จะชี้ขาดว่าเป็นการขาดความระมัดระวังอันเป็นการประมาทเลินเล่อที่จะต้องรับผิดในฐานละเมิด พิพากษายืน.

Share