คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1814/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นผู้มีการศึกษาถึงระดับปริญญาตรี ได้รับแต่งตั้งให้เป็นวิทยากรไทยอาสาป้องกันชาติและเป็นวิทยากรอบรมลูกเสือชาวบ้าน ทั้งเคยเป็นภริยานายตำรวจชั้นสัญญาบัตรผู้มีหน้าที่ปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมาย รู้แจ้งในการที่จะสร้างสรรค์ประชาชนให้เป็นพลเมืองดีแต่กลับกระทำผิดด้วยการจำหน่ายกัญชาอันเป็นการบ่อนทำลายด้วยการมอมเมาประชาชนเสียเอง ไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษให้.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 26, 75, 102, พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่2) พ.ศ. 2528 มาตรา 4, 7 ริบกัญชาของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 26, 75, 102 ที่แก้ไขแล้ว ให้ลงโทษจำคุก 2 ปีคำรับสารภาพของจำเลยมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 1 ปี ริบกัญชาของกลาง
จำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘…จำเลยจำหน่ายกัญชาแห้งของกลาง น้ำหนัก4.37 กรัม ให้ผู้มีชื่อโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ซึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มีเจตนารมณ์ที่จะปราบปรามการเผยแพร่ยาเสพติดให้โทษให้เป็นไปโดยมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น แต่ได้ความตามข้อฎีกาและเอกสารท้ายฎีกาของจำเลยว่าจำเลยสำเร็จการศึกษาได้รับประกาศนียบัตรการศึกษาชั้นสูงของกระทรวงศึกษาธิการ ได้ปริญญาตรีศึกษาศาสตร์บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชผ่านการอบรมได้รับการแต่งตั้งให้เป็นวิทยากรไทยอาสาป้องกันชาติและเป็นวิทยากรอบรมลูกเสือชาวบ้าน ทั้งเคยเป็นภริยานายตำรวจชั้นสัญาบัตรผู้มีหน้าที่ปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายซึ่งถือได้ว่าจำเลยเป็นผู้มีการศึกษาสูง รู้แจ้งในการที่จะสร้างสรรค์ประชาชนให้เป็นพลเมืองดี แต่กลับกระทำผิดคดีนี้เสียเองและกระทำการอันเป็นการบ่อนทำลายด้วยการมอมเมาประชาชน ขัดต่อเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าวแล้ว จึงไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษให้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น’
พิพากษายืน.

Share