คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1811/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินตาม ส.ค. 1 ซึ่งมีชื่อบิดาจำเลยครอบครองมา เป็นที่สาธารณะที่ทางราชการสงวนไว้เป็นทุ่งสำหรับเลี้ยงสัตว์ร่วมกัน จำเลยเข้าไปแผ้วถางก่อสร้างในที่ดินนั้นโดยเข้าใจว่าจำเลยกระทำได้ เป็นการขาดเจตนาในการกระทำผิดทางอาญา จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานบุกรุกที่ดินของรัฐโดยมิได้รับอนุญาต

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปแผ้วถางก่อสร้างในที่ดินสาธารณะประโยชน์โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๙,๑๐๘ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๙๖ ข้อ ๑๑
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นมรดกของบิดาจำเลย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า บิดาจำเลยมีสิทธิครอบครองที่พิพาทมาก่อน พ.ศ. ๒๔๙๘ และก่อนทางราชการสำรวจขึ้นทะเบียนเป็นที่สาธารณะ และโจทก์นำสืบไม่ได้ความชัดว่าจำเลยบุกรุกที่สาธารณนอกเขต ส.ค.๑ ของจำเลย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๙,๑๐๘ วรรค ๒ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๙๖ ข้อ ๑๑จำคุก ๖ เดือน และปรับ ๓๐๐ บาท ให้รอการลงโทษไว้ ๓ ปี ให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและออกจากที่ดินสาธารณะ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าจำเลยได้เข้าไปแผ้วถางก่อสร้างในที่พิพาทจริง และเชื่อว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะที่สงวนไว้เป็นทุ่งสำหรับเลี้ยงสัตว์ร่วมกัน แต่เชื่อตามจำเลยนำสืบว่าที่พิพาทเป็นที่ที่อยู่ใน ส.ค.๑ เอกสารหมาย ล.๑ ซึ่งมีชื่อนายเจือง กาวมณี บิดาจำเลยเป็นผู้ครอบครองมาและได้แจ้งการครอบครองในปี ๒๔๙๘ การที่จำเลยเข้าไปแผ้วถางก่อสร้างในที่ดินนั้น จำเลยกระทำโดยเข้าใจว่าจำเลยกระทำได้ เป็นการขาดเจตนาในการกระทำผิดทางอาญา การกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานตามฟ้อง พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share