คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1806/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายอาญามาตรา29มีเจตนารมณ์ให้ผู้ต้องโทษปรับชำระค่าปรับส่วนการบังคับให้ชำระค่าปรับจะใช้วิธียึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับหรือวิธีกักขังแทนค่าปรับอยู่ที่ศาลจะเลือกใช้ตามรูปคดีส่วนที่กฎหมายบัญญัติว่าถ้าศาลเห็นเหตุอันควรสงสัยว่าผู้นั้นจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าปรับศาลจะเรียกประกันหรือจะสั่งให้กักขังผู้นั้นแทนค่าปรับไปพลางก่อนก็ได้นั้นเป็นเพียงการกำหนดมาตรการชั่วคราวก่อนดำเนินการตามวิธีที่ศาลเลือกใช้เท่านั้น เมื่อศาลชั้นต้นเลือกใช้วิธียึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับการที่ศาลชั้นต้นออกหมายกักขังเมื่อคดีถึงที่สุดให้กักขังจำเลยที่2แทนค่าปรับจึงเป็นการออกหมายผิดพลาดหาใช่ศาลชั้นต้นเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมเป็นให้กักขังจำเลยที่2แทนค่าปรับหมายกักขังเมื่อคดีถึงที่สุดดังกล่าวไม่มีผลลบล้างคำสั่งให้ยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับจำเลยที่2จึงไม่ใช่ผู้ต้องกักขังแทนค่าปรับอันเป็นผู้ต้องกักขังซึ่งได้รับพระราชทานอภัยโทษ

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลยที่ 1 จำคุกและปรับจำเลยที่ 2 โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยทั้งสองฎีกา ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 2 ขอถอนฎีกา ศาลฎีกาอนุญาตในวันที่ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลฎีกาให้จำเลยที่ 2 ฟัง จำเลยที่ 2ยื่นคำร้องว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีเงินชำระค่าปรับ ขอรับโทษกักขังแทนค่าปรับ และขอให้ศาลออกหมายกักขังแทนค่าปรับเมื่อคดีถึงที่สุดแก่จำเลยที่ 2 ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า หากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับภายในกำหนดเวลาตามกฎหมาย ให้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับตามกฎหมาย ชั้นนี้ให้กักขังแทนค่าปรับไปพลางก่อนและศาลชั้นต้นออกหมายกักขังเมื่อคดีถึงที่สุดให้กักขังจำเลยที่ 2 แทนค่าปรับ ต่อมามีพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษออกบังคับใช้ จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่าจำเลยที่ 2 ได้รับพระราชทานอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว จึงพ้นโทษทั้งหมดรวมทั้งโทษปรับที่จำเลยที่ 2 ถูกกักขังแทนค่าปรับด้วยขอให้ศาลสั่งเพิกถอนหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์สินจำเลยที่ 2 เสีย
ศาลชั้นต้น มี คำสั่ง ให้ยก คำร้อง
จำเลย ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อศาลฎีกาอนุญาตให้จำเลยที่ 2 ถอนฎีกาและจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ คดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 2 ย่อมถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตั้งแต่วันที่ศาลฎีกามีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสองประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ส่วนการบังคับให้ชำระค่าปรับจะใช้วิธียึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับหรือวิธีกักขังแทนค่าปรับอยู่ที่ศาลจะเลือกใช้ตามรูปคดี ที่กฎหมายบัญญัติว่าถ้าศาลเห็นเหตุอันควรสงสัยว่าผู้นั้นจะหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าปรับศาลจะเรียกประกันหรือจะสั่งให้กักขังผู้นั้นแทนค่าปรับไปพลางก่อนก็ได้นั้น เป็นเพียงการกำหนดมาตรการชั่วคราวก่อนดำเนินการตามวิธีที่ศาลเลือกใช้เท่านั้น
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า หากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับภายในกำหนดเวลาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 ให้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับตามกฎหมายชั้นนี้ให้กักขังแทนค่าปรับไปพลางก่อนนั้นย่อมถือได้ว่าศาลชั้นต้นเลือกใช้วิธียึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับ ที่ศาลชั้นต้นออกหมายกักขังเมื่อคดีถึงที่สุดให้กักขังจำเลยที่ 2 แทนค่าปรับเป็นเวลา 2 ปีทั้ง ๆ ที่ได้เลือกใช้วิธียึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับแล้ว จึงเป็นการออกหมายผิดพลาด หาใช่ศาลชั้นต้นเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมเป็นให้กักขังจำเลยที่ 2 แทนค่าปรับไม่ หมายกักขังเมื่อคดีถึงที่สุดดังกล่าวไม่มีผลลบล้างคำสั่งให้ยึดทรัพย์สินใช้ค่าปรับดังนั้น จำเลยที่ 2 จึงไม่ใช่ผู้ต้องกักขังแทนค่าปรับ อันเป็นผู้ต้องกักขังตามมาตรา 3 ซึ่งได้รับพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัวไปตามมาตรา 5 แห่งพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. 2535
พิพากษายืน

Share