คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18031/2555

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีอาญาที่โจทก์มีคำขอในส่วนแพ่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่โจทก์ร่วม เมื่อคดีส่วนแพ่ง โจทก์ร่วมและจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมแล้ว คดีส่วนแพ่งจึงเป็นไปตามคำพิพากษาตามยอมตาม ป.วิ.อ. มาตรา 47 ไม่จำต้องมีคำพิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาตามคำขอของโจทก์และโจทก์ร่วมในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาอีก ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่โจทก์ร่วม และศาลอุทธรณ์ภาค 7 มิได้แก้ไขเป็นการไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 357 ให้จำเลยคืนหรือชดใช้ราคาทรัพย์ที่ถูกประทุษร้ายที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 980,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาลักทรัพย์
ระหว่างพิจารณานางสาวสุมิตรา ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดเป็นเงินจำนวน 300,000 บาท ไม่ประสงค์จะเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน 980,000 บาท ตามฟ้อง
จำเลยให้การในส่วนแพ่งว่า จำเลยยินยอมชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 300,000 บาท แก่โจทก์ร่วม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (3) (8) (11) วรรคสอง ให้จำคุก 4 ปี และปรับ 6,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี และปรับ 3,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เห็นสมควรให้โอกาสจำเลยกลับตนเป็นพลเมืองดีต่อไป โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ถูกประทุษร้ายที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 980,000 บาท แก่ผู้เสียหายนั้น ปรากฏว่าโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายยื่นคำร้องว่าติดใจให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เพียง 300,000 บาท เท่านั้น ซึ่งในส่วนแพ่งโจทก์ร่วมและจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลมีคำพิพากษาตามยอมแล้ว ประกอบกับโจทก์ร่วมแถลงว่าได้รับชดใช้จากจำเลยแล้ว 165,000 บาท คงเหลืออีก 135,000 บาท จึงให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ถูกประทุษร้ายที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 135,000 บาท แก่โจทก์ร่วม สำหรับคดีส่วนแพ่งให้บังคับตามคำพิพากษาตามยอม
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่รอการลงโทษจำคุก และไม่ปรับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์และโจทก์ร่วมมีคำขอในส่วนแพ่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่โจทก์ร่วม เมื่อคดีส่วนแพ่งโจทก์ร่วมและจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมแล้ว คดีส่วนแพ่งจึงเป็นไปตามคำพิพากษาตามยอม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 47 ไม่จำต้องมีคำพิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาตามคำขอของโจทก์และโจทก์ร่วมในคดีส่วนอาญาอีก ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 135,000 บาท แก่โจทก์ร่วม และศาลอุทธรณ์ภาค 7 มิได้แก้ไขเป็นการไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลย 3 ปี ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่ง คงลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี 6 เดือน ยกคำขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่โจทก์ร่วม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7

Share