คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 18028/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่าโจทก์เป็นเจ้าของบ้านเช่าครึ่งตึกครึ่งไม้ 2 ชั้น เปิดให้เช่า 5 คูหา ต่อมาฟ้าผ่าเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยที่ 1 ซึ่งยังไม่ต่อสายล่อฟ้าลงพื้นดินเป็นเหตุให้กระแสไฟฟ้าวิ่งไปตามสายไฟฟ้าเข้ามิเตอร์วัดไฟที่ต่อให้ประชาชนใช้ตามบ้านจนเกิดเพลิงไหม้อาคารบ้านเรือนรวมถึงอาคารบ้านเรือน 5 คูหาของโจทก์ แม้โจทก์จะบรรยายเลขที่บ้านเป็นเลขที่ 81 แต่ทางพิจารณาเป็นเลขที่ 16 ก็เป็นข้อแตกต่างที่ไม่เป็นสาระสำคัญ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 2,132,496 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,064,913 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้ใช้ค่าขาดประโยชน์เดือนละ 10,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาตและมีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ออกเสียจากสารบบความ และโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายเรียกบริษัทอัลคาเทล – ลูเซ่น เซี่ยงไฮ้ เบลล์ (ฮ่องกง) ลิมิเต็ด โดยอัลคาเทล – ลูเซ่น (ประเทศไทย) จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม
ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 914,913 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 1 ธันวาคม 2549) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน เดือนละ 10,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปเป็นระยะเวลา 12 เดือน แก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท สำหรับค่าธรรมเนียมศาลที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถานั้น ให้จำเลยที่ 1 นำมาชำระต่อศาลในนามของโจทก์ (เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ชำระเท่าที่โจทก์ชนะคดี) ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยร่วม ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยร่วมให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่จำเลยที่ 1 เสียเกินมา 17,032 บาท และคืนค่าขึ้นศาลในอนาคตชั้นอุทธรณ์แก่จำเลยที่ 1 กับให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลยที่ 1 โดยกำหนดค่าทนายความรวม 6,000 บาท
โจทก์ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสามปากอยู่ห่างจากเสารับสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยที่ 1 ไม่เกิน 20 เมตร เมื่อพยานโจทก์ได้ยินเสียงฟ้าผ่าเสียงดังย่อมมองไปตามเสียงดังกล่าว จากคำเบิกความของนายคมสันพยานจำเลยที่ 1 ได้ความว่า เสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นโครงเหล็กสูงถึง 47 เมตร และส่วนยอดติดตั้งแท่งล่อฟ้าเพื่อป้องกันฟ้าผ่ายาว 70 เซนติเมตร เสาส่งสัญญาณดังกล่าวเป็นจุดที่สูงที่สุดซึ่งพยานโจทก์ทั้งสามสามารถมองเห็นตั้งแต่ยอดเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ลงมาได้โดยปราศจากสิ่งบดบัง พยานโจทก์ทั้งสามมิได้เป็นผู้ได้รับความเสียหายจากเหตุเพลิงไหม้จึงมิได้เป็นผู้มีส่วนได้เสีย เชื่อว่า นายนิวาส นายไพบูลย์ และนางรดี เห็นแสงไฟฟ้าเคลื่อนที่ไปตามสายไฟฟ้าจากเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปยังหม้อแปลงของจำเลยที่ 2 ส่วนที่นายวีระพันธ์พยานจำเลยที่ 1 มาตรวจที่เกิดเหตุแล้วทำความเห็นว่า เหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้เป็นไปได้ว่าฟ้าผ่าลงบนเสาโทรทัศน์โดยตรงเนื่องจากระยะบ้านและความสูงของเสาโทรทัศน์อยู่นอกเหนือระยะป้องกันฟ้าผ่าของสถานี และจากการที่อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าเพียงหลังเดียวเสียหายทั้งที่ไม่ได้เปิดใช้งานแต่เสียบปลั๊กอยู่นั้นเป็นส่วนสนับสนุนถึงความเป็นไปได้ดังกล่าว เห็นว่า นายวีระพันธ์มาตรวจสอบที่เกิดเหตุเพื่อทราบสาเหตุว่าฟ้าผ่าลงที่ใดหลังเกิดเหตุนานถึงหนึ่งปี สถานที่เกิดเหตุและสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ย่อมเปลี่ยนแปลงไปมาก รายงานการศึกษา ระบุว่า การตรวจสอบใช้วิธีตรวจสอบภาพถ่ายและหลักฐานต่าง ๆ ของสถานียางสีสุราช ณ ขณะเกิดเหตุเพลิงไหม้ และคำบอกเล่าของชาวบ้านเกี่ยวกับอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น โทรทัศน์และเครื่องเสียงเสียหาย ซึ่งตามรายงานดังกล่าวไม่มีรายละเอียดของภาพถ่ายและหลักฐานต่าง ๆ ของสถานีว่ามีอะไรบ้าง และที่ว่าคำบอกเล่าของชาวบ้านเกี่ยวกับอุปกรณ์ไฟฟ้านั้น ชาวบ้านดังกล่าวเป็นใคร มีภูมิลำเนาอยู่ที่ใด ก็ไม่ปรากฏให้ตรวจสอบได้ ข้อสันนิษฐานของนายวีระพันธ์ที่ว่าฟ้าผ่าลงบนเสาโทรทัศน์โดยตรงหักล้างคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามปากไม่ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันเกิดเหตุฟ้าผ่าลงบนเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยที่ 1 นอกจากนี้นายคมสันพยานจำเลยเบิกความรับว่า ขณะเกิดเหตุการก่อสร้างและการติดตั้งอุปกรณ์เสาส่งสัญญาณยังไม่เสร็จสมบูรณ์ สิ่งที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์คือ การฝังสายกราวด์อุปกรณ์ตามระบบต่อลงดิน ซึ่งต่อลงมาจากแผ่นกราวด์ที่ติดตั้งไว้บนเสาส่งสัญญาณเพื่อฝังลงดินเท่านั้น ซึ่งสายดังกล่าวมิใช่สายล่อฟ้าหรือสายตัวนำลงดินของเสาส่งสัญญาณ ตามคำของนายคมสันข้อเท็จจริงรับฟังเพิ่มเติมได้ว่า ขณะที่ฟ้าผ่าลงเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่นั้น การก่อสร้างและติดตั้งอุปกรณ์เสาส่งสัญญาณยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ที่นายคมสันเบิกความว่า สำหรับสิ่งที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์คือ การฝังสายกราวด์อุปกรณ์ตามระบบต่อลงดินมิใช่สายล่อฟ้านั้น นายคมสันเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า หลังเกิดเหตุแล้วประมาณเกือบหนึ่งปี พยานจึงไปดูเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่อำเภอยางสีสุราช ข้อเท็จจริงที่นายคมสันเบิกความถึงความไม่เสร็จสมบูรณ์ของการก่อสร้างและติดตั้งอุปกรณ์ส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังกล่าว น่าจะเบิกความตามที่ได้รับรายงาน ไม่มีการตรวจสอบว่าสิ่งที่ยังทำไม่เสร็จเป็นการฝังสายกราวด์อุปกรณ์ตามระบบต่อลงดินจริงหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันเกิดเหตุฟ้าผ่าลงเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยที่ 1 ซึ่งยังก่อสร้างและติดตั้งอุปกรณ์ไม่แล้วเสร็จ ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าเป็นลูกไฟเคลื่อนที่จากเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ไปตามสายไฟฟ้าของจำเลยที่ 2จนถึงหม้อแปลงใหญ่เป็นเหตุให้หม้อแปลงระเบิดและเกิดเพลิงไหม้บ้านเรือนของประชาชน 9 ราย รวมโจทก์ด้วย อันเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนที่จำเลยที่ 1 แก้ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องและนำสืบว่า โจทก์เป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 81 หมู่ที่ 9 ตำบลยางสีสุราช อำเภอยางสีสุราช ซึ่งเป็นบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ 2 ชั้น เปิดให้เช่ารวม 5 คูหา แต่ทางพิจารณาว่า บ้านโจทก์ที่ถูกเพลิงไหม้คือบ้านเลขที่ 16 หมู่ที่ 9 ตำบลยางสีสุราช จึงแตกต่างจากข้ออ้างในคำฟ้องอันเป็นสาระสำคัญ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดนั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่าโจทก์เป็นเจ้าของบ้านเช่าครึ่งตึกครึ่งไม้ 2 ชั้น เปิดให้เช่า 5 คูหา ต่อมาฟ้าผ่าเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยที่ 1 ซึ่งยังไม่ต่อสายล่อฟ้าลงพื้นดิน เป็นเหตุให้เกิดกระแสไฟฟ้าวิ่งไปตามสายไฟฟ้าเข้ามิเตอร์วัดไฟที่ต่อให้ประชาชนใช้ตามบ้านจนเกิดเพลิงไหม้อาคารบ้านเรือนรวมถึงอาคารบ้านเรือน 5 คูหาของโจทก์ แม้โจทก์จะบรรยายเลขที่บ้านเป็นเลขที่ 81 แต่ทางพิจารณาเป็นเลขที่ 16 ก็เป็นข้อแตกต่างที่ไม่เป็นสาระสำคัญ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 สั่งคืนและค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share