คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1799/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 อ้างว่าไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา ขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 จดทะเบียนโอนขายที่ดินให้แก่โจทก์ ขณะคดียังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 เป็นคดีใหม่ โดยเพิ่มข้อหาว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ร่วมกันแสดงเจตนาลวงโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 7 โดยสมยอม ขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายและโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ ดังนี้มูลค่าที่โจทก์ฟ้องเป็นเรื่องเดียวกัน มีประเด็นเกี่ยวข้องกันโดยตรง ทั้งเกี่ยวกับทรัพย์สินรายเดียวกัน ฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 จึงเป็นฟ้องซ้อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 (1) การที่โจทก์ถอนฟ้องคดีเดิมหลังจากฟ้องคดีใหม่ ไม่ทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ในคดีใหม่ได้
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 569 และพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 29 สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์หรือการเช่านาย่อมไม่ระงับไปเพราะการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินหรือนาที่ให้เช่าผู้รับโอนจะต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่า จำเลยที่ 1 ผู้ให้เช่านาพิพาทโอนขายที่นาพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 โดยไม่ได้แจ้งการขายให้แก่โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้เช่าก่อน โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิซื้อที่นาพิพาทคืนจากจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. 2517 มาตรา 41 เมื่อจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 โอนขายนาพิพาทต่อไปให้จำเลยที่ 7 จำเลยที่ 7 ผู้รับโอนย่อมรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ซึ่งจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 มีอยู่ต่อโจทก์ทั้งสองผู้เช่านาพิพาทโจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิที่จะซื้อนาจากจำเลยที่ 7 ตามราคาและวิธีการชำระเงินตามที่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 ซื้อไว้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ทั้งสองเป็นผู้เช่าที่ดินจากจำเลยที่ ๑ เพื่อทำนาปลูกข้าวตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๑๖ ต่อมาในเดือนมกราคม ๒๕๒๔ โจทก์ทราบว่าจำเลยที่ ๑ ได้ขายที่ดินที่โจทก์เช่าอยู่ให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ไปทั้งแปลงในราคา ๓๐๐,๐๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๒ การที่จำเลยที่ ๑ โอนขายที่ดินให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทั้งสองในฐานะผู้เช่าทราบก่อนการกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ. ๒๕๑๗ มาตรา ๔๑ โจทก์จึงมีสิทธิซื้อนาที่เช่าจากจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ในฐานะผู้ซื้อได้ในราคาและตามวิธีกาชำระเงินที่จำเลยที่ ๑ ขายให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ คือจำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท โจทก์ได้ยื่นเรื่องราวต่อคณะกรรมการควบคุมการเช่านาและนายอำเภอท้องที่ให้ดำเนินการให้จำเลยโอนขายนาให้โจทก์แต่จำเลยไม่ยินยอม โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ต่อศาลจังหวัดปทุมธานี คดีอยู่ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๗ ได้ร่วมสมรู้กันแสดงเจตนาลวงโดยสมยอมจดทะเบียนโอนขายนาที่โจทก์เช่าดังกล่าวให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๗ เพียงผู้เดียวเป็นเงิน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งไม่เป็นความจริงและเป็นการกระทำไม่สุจริตขอให้พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ผู้ขายกับจำเลยที่ ๗ ผู้ซื้อแล้วให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ โอนขายให้แก่โจทก์ในราคา ๓๐๐,๐๐๐ บาท หากไม่อาจเพิกถอนได้ให้จำเลยที่ ๗ ในฐานะผู้ซื้อร่วมหรือแทนกันกับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ โอนขายให้โจทก์ในราคา ๓๐๐,๐๐๐ บาท หากจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๗ ไม่ปฏิบัติตามก็ให้โจทก์วางเงินจำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ต่อศาลแล้ว ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาโอนขายที่ดินให้แก่โจทก์แทนจำเลย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่าโจทก์ทั้งสองไม่ใช่ผู้เช่านา ไม่มีสิทธิมาฟ้องจำเลยที่ ๑ ได้ ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้อนเพราะโจทก์เคยยื่นคำฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ไว้แล้วเป็นคำฟ้องเรื่องเดียวกันเกี่ยวกับที่ดินแปลงเดียวกัน ข้อหาผิดพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.๒๕๑๗ และขอให้จำเลยโอนขายนาให้ผู้เช่าเหมือนกัน จำเลยที ๑ ไม่ได้สมคบกับจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ทำนิติกรรมโอนขายนาพิพาทให้จำเลยที่ ๗ ตามฟ้องโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ให้การว่า โจทก์ทั้งสองไม่ใช่ผู้เช่านาพิพาทกับจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ และไม่ใช่เจ้าหนี้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ จึงไม่มีสิทธิขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมขายนาพิพาทระหว่างจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ กับจำเลยที่ ๗ ฟ้องโจทก์ทั้งสองเป็นฟ้องซ้อน จำเลยที่ ๑ ไม่ได้สมคบกับจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ขายที่นาพิพาทให้จำเลยที่ ๗ ตามฟ้องโจทก์
จำเลยที่ ๗ ให้การว่า จำเลยที่ ๗ ได้ซื่อที่นาพิพาทจากจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ โดยสุจริต ได้จดทะเบียนและเสียค่าธรรมเนียมการซื้อขายโดยถูกต้องโจทก์ทั้งสองไม่ใช่เจ้าหนี้ของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ จึงไม่มีสิทธิฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายนี้ ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมและโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว เห็นว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมโดยโจทก์ทั้งสองเป็นผู้เช่านาพิพาท การที่จำเลยไม่ปฏิบัติต่อโจทก์ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านาถือได้ว่า เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ดังนั้น โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องและฟ้องโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้อน พฤติการณ์ของจำเลยตามที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่าจำเลยได้สมรู้ร่วมกันทำนิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ กับจำเลยที่ ๗ นิติกรรมดังกล่าวจึงไม่มีผลตามกฎหมาย พิพากษาว่านิติกรรมสัญญาซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๔๒ ตำบลหน้าไม้ อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ระหว่างจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ผู้ขายกับจำเลยที่ ๗ ผู้ซื้อฉบับลงวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๒๔ เป็นโมฆะ ให้เพิกถอนนิติกรรมดังกล่าวนี้เสีย ให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ โอนขายที่ดินให้แก่โจทก์ในราคา ๓๐๐,๐๐๐ บาท หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้โจทก์วางเงิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาโอนขายที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสองแทนจำเลยทั้งหมด
จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ และจำเลยที่ ๗ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์ในส่วนที่ฟ้องจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ในคดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๔๑/๒๕๒๔ ของศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๓ (๑) ไม่มีผลตามกฎหมาย และคดีรับฟังได้ว่าจำเลยทุกคนได้สมรู้ร่วมกันแสดงเจตนาลวงโดยทำเป็นจดทะเบียนโอนนาพิพาททำทีเป็นซื้อขายกัน นิติกรรมดังกล่าวที่ทำเมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๒๔ ซึ่งจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ เป็นผู้ขาย จำเลยที่ ๗ เป็นผู้ซื้อ จึงเป็นโมฆะ ที่นาพิพาทยังเป็นของจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ อยู่ อย่างไรก็ตามคำขอของโจทก์ที่จะให้จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ โอนขายนาพิพาทให้โจทก์ในราคาสามแสนบาทก็ไม่อยู่ในสภาพอันจะพึงพิพากษาบังคับให้ได้ เพราะคดีของโจทก์เป็นฟ้องซ้อน พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ให้ยกฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ และจำเลยที่ ๗ ฎีกา
ในปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของโจทก์ที่ว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๔๑/๒๕๒๔ คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๕๐/๒๕๒๔ ของศาลชั้นต้นหรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ได้ความจากข้อเท็จจริงที่รับฟังมาว่า ขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ต่อศาลชั้นต้น กล่าวอ้างว่าไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา ขอให้บังคับให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ จดทะเบียนโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๐๔๒ ตำบลหน้าไม้ อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ให้แก่โจทก์ในราคา ๓๐๐,๐๐๐ บาท ไว้แล้ว และคดีดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์จะฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ เป็นคดีนี้ซึ่งมีมูลคดีเป็นเรื่องเดียวกันอีกไม่ได้ แม้คดีนี้โจทก็จะฟ้องจำเลยที่ ๗ และเพิ่มข้อหาว่า จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ร่วมกันแสดงเจตนาลวงโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๗ โดยสมยอมขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายและโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ด้วยก็ตาม มูลคดีที่โจทก์ฟ้องก็คงเป็นเรื่องเดียวกันมีประเด็นเกี่ยวข้องกันโดยตรง ทั้งเกี่ยวกับทรัพย์สินรายเดียวกันกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๔๑/๒๕๒๔ คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๕๐/๒๕๒๔ นั้นเอง ฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ จึงเป็นฟ้องซ้อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๓ (๑) การที่โจทก์ถอนฟ้องคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ๔๑/๒๕๒๔ คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๕๐/๒๕๒๔ ในภายหลังไม่ทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๖ ในคดีนี้ได้
ในปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยที่ ๗ ที่ว่าโจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการซื้อขายระหว่างจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ กับจำเลยที่ ๗ เพราะเป็นการซื้อขายโดยสุจริต โจทก์มีสิทธิเพียงไปขอซื้อจากจำเลยที่ ๗ ตามราคาที่จำเลยที่ ๗ ซื้อมาหรือตามราคาท้องตลาดอย่างใดสูงกว่า ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๖๙ และพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.๒๕๑๗ มาตรา ๒๙ สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์หรือการเช่านาย่อมไม่ระงับไปเพราะการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินหรือนาที่ให้เช่า และผู้รับโอนจะต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนซึ่งมีต่อผู้เช่า เมื่อจำเลยที่ ๑ ผู้ให้เช่านาพิพาทโอนขายกรรมสิทธิ์ในที่นาพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ โดยไม่ได้แจ้งการขายแก่โจทก์ทั้งสองก่อน โจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิซื้อที่นาพิพาทคืนจากจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่านา พ.ศ.๒๕๑๗ มาตรา ๔๑ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ จึงมีหน้าที่ขายนาพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสอง ดังนั้นเมื่อ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ โอนขายนาพิพาทต่อไปให้จำเลยที่ ๗ จำเลยที่ ๗ ผู้รับโอนย่อมต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ซึ่งจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ มีอยู่ต่อโจทก์ทั้งสองผู้เช่านาพิพาทโจทก์ทั้งสองจึงมีสิทธิที่จะซื้อนาจากจำเลยที่ ๗ ตามราคาและวิธีการชำระเงิน ตามที่จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๖ ซื้อไว้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๗ โอนขายที่นาโฉนดเลขที่ ๑๐๔๒ ตำบลหน้าไม้ อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ให้แก่โจทก์ทั้งสองในราคา ๓๐๐,๐๐๐ บาท โดยชำระเงินเมื่อทำการจดทะเบียนโอนขาย หากจำเลยที่ ๗ ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share