แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยสองคนรับผิดทางแพ่ง ปรากฏว่าจำเลยคนหนึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล และมูลคดีก็เกิดขึ้นในเขตศาลนั้น ทั้งพยานหลักฐานส่วนใหญ่ก็อยู่ในจังหวัดนั้นด้วย ทั้งโจทก์ก็ได้ยื่นคำร้องจนศาลสั่งอนุญาตให้โจทก์ยื่นคำฟ้องต่อศาลได้ การที่ศาลรับฟ้องคดีนั้นไว้พิจารณาพิพากษาจึงเป็นการชอบแล้ว
เดิมกรมทางหลวงมีชื่อว่ากรมทางหลวงแผ่นดิน สังกัดกระทรวงคมนาคมต่อมาได้มีกฎหมายบัญญัติให้กรมทางหลวงแผ่นดินอยู่ในสังกัดกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ และให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน หนี้สิน ข้าราชการ ฯลฯ ไปเป็นของกรมทางหลวงนั้น โดยผลแห่งกฎหมาย หนี้สินและสิทธิเรียกร้องที่กรมทางหลวงแผ่นดินมีต่อจำเลยลูกหนี้ย่อมโอนไปยังกรมทางหลวงโจทก์ โดยมิพักต้องบอกกล่าวการโอนไปยังจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้แต่อย่างใด และโจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
การที่จำเลยที่ 1 รับราชการอยู่ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 ได้ยักยอกเงินของทางราชการไปด้วยความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาเช่นนี้ จำเลยที่ 2 ต้องรับผิด
กรณีละเมิดนั้น เมื่อโจทก์เพิ่งได้ทราบเรื่องจำเลยยักยอกจากการตรวจสอบบัญชีและหลักฐานการสอบสวนจากพนักงานเจ้าหน้าที่และมาฟ้องคดีในเวลายังไม่ครบ 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ตัวผู้กระทำละเมิดและรู้ถึงการกระทำละเมิด คดีของโจทก์จึงยังหาขาดอายุความไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขณะรับราชการเป็นหัวหน้าบัญชีโทประจำเขตการทางสงขลา มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงินได้ยักยอกเงินของโจทก์ และจำเลยที่ 2 รับราชการเป็นนายช่างเขตการทางสงขลามีหน้าที่รับผิดชอบของเขตการทางสงขลาโดยทั่วไป ได้ประมาทเลินเล่อไม่ควบคุมตรวจหลักฐานการบัญชี ตัวเงิน และการจ่ายเงินของโจทก์จำเลยที่ 1 จึงยักยอกเงินของโจทก์ไป ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 60,712.50 บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 60,606.50 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองร่วมกัน โดยเฉพาะจำเลยที่ 1 ได้ความว่าได้หลบหนีคดีไปจากจังหวัดสงขลาซึ่งเป็นภูมิลำเนาของตน มูลคดีนี้เกิดขึ้นในเขตของศาลจังหวัดสงขลา และพยานหลักฐานส่วนใหญ่ก็อยู่ในจังหวัดสงขลา อีกทั้งโจทก์ได้ยื่นคำร้อง และศาลจังหวัดสงขลาเห็นว่าการพิจารณาคดีนี้ในศาลจังหวัดสงขลาจะเป็นการสะดวก จึงได้สั่งอนุญาตให้โจทก์ยื่นคำฟ้องต่อศาลจังหวัดสงขลาได้ศาลฎีกาเห็นว่าการที่ศาลจังหวัดสงขลารับฟ้องคดีนี้ไว้พิจารณาพิพากษานั้นชอบแล้ว
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ได้ความว่าเดิมกรมทางหลวงนี้เรียกชื่อว่ากรมทางหลวงแผ่นดิน สังกัดกระทรวงคมนาคมครั้นต่อมาได้มีพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม พ.ศ. 2506 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวงทบวงกรมเดิมเสียทั้งสิ้น และบัญญัติไว้ตามมาตรา 18 ให้กรมทางหลวงแผ่นดินอยู่ในสังกัดกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ เรียกชื่อใหม่ว่า กรมทางหลวงขณะเดียวกันได้มีพระราชบัญญัติโอนกิจการบริหารของกระทรวงทบวงกรม พ.ศ. 2506 ออกใช้บังคับโดยมาตรา 24 บัญญัติให้โอนบรรดากิจการทรัพย์สิน หนี้สิน ข้าราชการ ลูกจ้างและเงินงบประมาณของกรมทางหลวงแผ่นดิน กระทรวงคมนาคมไปเป็นของกรมทางหลวงกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ ฉะนั้น โดยผลแห่งกฎหมายดังกล่าว หนี้สินและสิทธิเรียกร้องที่กรมทางหลวงแผ่นดินมีอยู่ต่อจำเลยทั้งสองอย่างใดนั้นย่อมโอนไปยังกรมทางหลวงกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติโจทก์ในคดีนี้ โดยมิพักต้องบอกกล่าวการโอนหนี้ไปยังจำเลยผู้เป็นลูกหนี้แต่ประการใดไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยตามคดีนี้
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาต่อไปว่า จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 นั้นเห็นว่า ตามหลักฐานต่าง ๆ เป็นระเบียบของทางราชการซึ่งจำเลยที่ 2ได้รับทราบและจะต้องถือปฏิบัติเมื่อเกิดความเสียหายขึ้น เพราะผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาโดยความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ด้วยแล้ว จำเลยที่ 2 ก็ต้องรับผิด ฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ฎีกาข้อสุดท้ายว่า คดีโจทก์ขาดอายุความแล้วนั้น ได้ความว่านายใจยง หัวหน้าแผนกงบประมาณ กองการบัญชีและการเงินได้ไปตรวจสอบบัญชีและหลักฐานต่าง ๆ ของเขตการทางสงขลาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2506 ก็จริง แต่การตรวจสอบหลักฐานต่าง ๆของเขตการทางสงขลาเมื่อเดือนพฤษภาคม 2506เพิ่งจะเสร็จสิ้นและทราบการทุจริตนายใจยงกลับมากรุงเทพฯรายงานต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับ ตามคำขอนายปุยผู้อำนวยการกองบัญชีและการเงินว่า เมื่อทราบเรื่องจากนายใจยงจึงได้ทำรายงานให้อธิบดีกรมทางหลวงทราบผลของการตรวจสอบบัญชีและหลักฐานการสอบสวนคดีนี้เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2506 และอธิบดีกรมทางหลวงโจทก์เพิ่งทราบการกระทำละเมิดของจำเลยเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2506 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2507 ยังไม่ครบ 1 ปีนับแต่วันที่โจทก์รู้ตัวผู้กระทำละเมิดและรู้ถึงการกระทำละเมิด คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ ฎีกาจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลยที่ 2