คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1793/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาเรียงกระทงลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 6 ปี และฐานจำหน่ายเฮโรอีนจำคุก 6 ปี รวมจำคุก 12 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามแล้ว คงจำคุกจำเลย 9 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า เมื่อลดโทษให้หนึ่งในสามแล้วคงจำคุกจำเลย 8 ปี จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน 5 ปี ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง จำเลยฎีกาว่า พนักงานสอบสวนไม่ได้ทำแผนที่เกิดเหตุ ไม่ให้จำเลยนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ สายลับที่อ้างว่าล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลยไม่ได้มาเบิกความเป็นพยาน และพฤติการณ์ของเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมส่อไปในทางทุจริต พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงมีพิรุธไม่ควรแก่การเชื่อถือพยานจำเลยสามารถหักล้างพยานโจทก์ได้นั้น ล้วนเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้ลงโทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 15, 66, 67, 102และริบเฮโรอีนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 (ที่ถูกมาตรา 15 วรรคหนึ่ง),66 วรรคหนึ่ง เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 6 ปี ฐานจำหน่ายเฮโรอีนจำคุก 6 ปี รวมจำคุก 12 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 9 ปีริบเฮโรอีนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า เมื่อลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุกจำเลย 8 ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเรียงกระทงลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 6 ปีและฐานจำหน่ายเฮโรอีน จำคุก 6 ปี รวมจำคุก 12 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามแล้ว คงจำคุกจำเลย 9 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่าเมื่อลดโทษให้หนึ่งในสามแล้วคงจำคุกจำเลย 8 ปี จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้ไขเล็กน้อย และให้ลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน 5 ปี ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งที่จำเลยฎีกาว่า คดีนี้พนักงานสอบสวนไม่ได้ทำแผนที่เกิดเหตุ ไม่ได้ให้จำเลยนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพ สายลับที่อ้างว่าล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลยไม่ได้มาเบิกความเป็นพยาน และพฤติการณ์ของเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมส่อไปในทางทุจริต พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงมีพิรุธไม่ควรแก่การเชื่อถือ พยานจำเลยสามารถหักล้างพยานโจทก์ได้นั้น ล้วนเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาจำเลย

Share