คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 179/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงโจทก์ว่า หากโจทก์ถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดกของ ป. แล้ว จำเลยทั้งสองจะร่วมกันชดใช้เงินให้โจทก์จำนวนหนึ่ง โดยจำเลยที่ 1 จะออกเช็คสั่งจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวและจำเลยที่ 2 จะค้ำประกันสลักหลัง และจะนำมาวางศาลเพื่อให้โจทก์รับไป โจทก์จึงไปยื่นคำร้องขอถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดกดังกล่าวต่อมาจำเลยที่ 1 แถลงต่อศาลว่าไม่สามารถหาเงินตามเช็คได้ ดังนี้ แสดงว่าโจทก์ยอมรับว่าโจทก์ได้ทำความตกลงกับจำเลยทั้งสองตามที่บรรยายในฟ้องจริง มิใช่เกิดจากการที่จำเลยทั้งสองแสดงข้อความเท็จหลอกลวงโจทก์ การที่ภายหลังจำเลยไม่สามารถหาเงินตามเช็คได้ หาทำให้ข้อตกลงที่ทำกันไว้กลายเป็นความเท็จไม่แต่เป็นเรื่องที่จำเลยทำผิดข้อตกลงที่ให้คำมั่นสัญญาไว้แก่โจทก์ ซึ่งโจทก์ชอบที่จะว่ากล่าวจำเลยทั้งสองในทางแพ่ง การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองมีเจตนาทุจริตร่วมกันหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดความจริงที่ว่าไว้ต่อหน้าศาลว่าหากโจทก์ไปขอถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายประจวบ ผู้ตายที่ศาลจังหวัดนครพนมแล้ว จำเลยทั้งสองจะร่วมกันรับผิดชอบใช้เงินให้โจทก์ ๑๕๐,๐๐๐ บาท โดยจำเลยที่ ๑ จะเป็นผู้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวและจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันสลักหลังเช็คนั้น และจำนำมาวางศาลเพื่อให้โจทก์รับไป โจทก์หลงเชื่อว่าเป็นความจริงจึงไปยื่นคำร้องขอถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย และศาลมีคำสั่งอนุญาตแล้ว ซึ่งข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จทั้งสิ้น เป็นเพียงอุบายของจำเลยทั้งสองที่ให้โจทก์ถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายนั้น ต่อมาจำเลยที่ ๑ แถลงต่อศาลว่าไม่สามารถหาเงินตามเช็คได้ หากโจทก์ทราบความจริงดังกล่าว โจทก์ก็จะไม่ถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดก การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๑
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องเป็นความผิดฐานฉ้อโกงหรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวถึงการกระทำของจำเลยว่า จำเลยทั้งสองใช้อุบาลหลอกลวงโจทก์ว่า หากโจทก์ถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดกของนายประจวบ ผู้ตายแล้ว จำเลยทั้งสองจะร่วมกันชดใช้เงินให้โจทก์ ๑๕๐,๐๐๐ บาท โดยจำเลยที่ ๑ จะเป็นผู้ออกเช็คสั่งจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว จำเลยที่ ๒ จะเป็นผู้ค้ำประกันสลักหลังเช็คนั้น แล้วจำเลยที่ ๑ จะนำเช็คมาวางศาลเพื่อให้โจทก์รับไปโจทก์จึงไปยื่นคำร้องขอถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย และศาลมีคำสั่งอนุญาตแล้ว ต่อมาจำเลยที่ ๑ แสดงต่อศาลว่า ไม่สามารถหาเงินตามเช็คได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้โจทก์เสียหาย ดังนี้แสดงว่าโจทก์ยอมรับว่า โจทก์ได้ทำความตกลงกับจำเลยทั้งสองตามที่บรรยายในคำฟ้องจริง มิได้เกิดจากการที่จำเลยทั้งสองแสดงข้อความเท็จหลอกลวงโจทก์ กล่าวคือโจทก์จำเลยตกลงกันว่า หากโจทก์ถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย จำเลยทั้งสองก็จะร่วมกันชดใช้เงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์ โดยจำเลยที่ ๑ จะเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คจำเลยที่ ๒ เป็นผู้สลักหลังเช็ค แต่ต่อมาจำเลยที่ ๑ กลับแถลงต่อศาลว่าไม่สามารถหาเงินตามเช็คได้ โจทก์จึงไม่ได้รับเงินตามที่ตกลงกันไว้ แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองใช้อุบายหลอกลวงโจทก์ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงว่า หากโจทก์ไปขอถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายแล้ว จำเลยทั้งสองจะร่วมกันชดใช้เงินให้โจทก์ โจทก์หลงเชื่อจึงไปยื่นคำร้องขอถอนตัวจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายก็ดี ก็หาใช่เป็นข้อความอันเป็นเท็จไม่ เพราะโจทก์ได้ทำความตกลงกับจำเลยทั้งสองจริง การที่ภายหลังจำเลยที่ ๑ แถลงต่อศาลว่า ไม่สามารถหาเงินตามเช็คได้ โจทก์จึงไม่ได้รับเงินตามที่ตกลงกันไว้ หาทำให้กลายเป็นความเท็จไม่ แต่เป็นเรื่องที่จำเลยทำผิดข้อตกลงที่ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้แก่โจทก์ ซึ่งโจทก์ชอบที่จะว่ากล่าวกับจำเลยทั้งสองในทางแพ่ง การกระทำของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
พิพากษายืน.

Share