แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกับพวกเอากระบือมาขายให้ผู้เสียหาย ๆ ชำระเงินให้ไป และนัดวันไปโอน ครั้นถึงวันนัดจำเลยกับพวกมาขู่เอากระบือคืนไป โดยแต่งอุบายว่าจำเลยคนหนึ่งเป็นตำรวจ กระบือนั้นถูกลักมา ถ้าไม่ยอมคืนให้จะจับส่งอำเภอ ดังนี้ ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อกระบือ.
ย่อยาว
ทั้งสามสำนวนข้อเท็จจริงได้ความว่า จำลยที่ ๒,๓,๔ ได้นำกระบือไปขายให้แก่ผู้เสียหายแต่ละคน นัดวันไปโอนกัน และผู้เสียหายได้ชำระเงินให้ไป ครั้นถึงวันนัดจะไปโอน จำเลยทั้ง ๔ ได้มาบ้านผู้เสียหาย จำเลยที่ ๑ อ้างตนว่าเป็นตำรวจ มาขู่เอากระบือคืนไป โดยแต่งอุบายว่าเป็นกระบือที่ถูกลักมาไม่ได้ขายให้ ถ้าไม่ยอมคืนจะเอาตัวไปส่งอำเภอ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทุกคนมีความผิดฐานฉ้อกระบือตามมาตรา ๓๐๔,๖๓ และจำเลยที่ ๑ มีผิดฐานปลอมตัวเป็นเจ้าพนักงาน และหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายด้วย ให้จำคุกจำเลยและให้คืนกระบือของกลาง
จำเลยทั้ง ๔ คนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ทั้ง ๓ สำนวนโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยสมคบกันฉ้อกระบือ แต่บรรยายว่าสมคบกันหลอกลวงผู้เสียหายให้ส่งเงินให้แล้วโกงโดยวิธีมาเอากระบือคืนไปโดยอาการต่าง ๆ ซึ่งในข้อฉ้อโกงเงิน ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าไม่ผิด และโจทก์มิได้อุทธรณ์ การที่จำเลยกับพวกเอากระบือไปโดยหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายจนต้องยอมให้ก็ดี ไปยึดหรือจับเอาไปก็ดี ไม่มีผิดฐานฉ้อโกง พิพากษาแก้ว่า จำเลยไม่ผิดฐานฉ้อโกง นอกนั้นยืน ให้ยกข้อคืนกระบือ
โจทก์, และผู้เสียหายฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า พฤตติการณ์ที่จำเลยกระทำนี้อาจสันนิษฐานได้เป็น ๒ นัยคือ สมคบกันมาแต่ต้นเพื่อกระทำการหลอกขายให้แล้วมาขู่เอากระบือไปในภายหลังอย่างหนึ่ง หรือในตอนต้นเป็นการขายให้เด็ดขาดโดยสุจริต แต่แล้วมีโลภเจตนามาขู่เอาไปโดยสุจริตภายหลังอีกอย่างหนึ่ง จะเป็นนัยไหนก็ตาม ศาลนี้ลงโทษจำเลยในฐานฉ้อโกงเงินดังโจทก์ฎีกามาไม่ได้ เพราะเมื่อศาลลงโทษจำเลยฐานฉ้อกระบือและให้ยกฟ้องไม่ลงโทษฐานฉ้อโกงเงิน โจทก์มิได้อุทธรณ์ คงอุทธรณ์แต่ให้ลงโทษฐานฉ้อกระบือ ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าจะลงโทษมิได้ ศาลนี้เห็นพ้องด้วยว่าไม่เป็นฉ้อกระบือดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ข้ออื่นโจทก์ไม่ได้ฎีกา
พิพากษายืน.