คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1786-1788/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกับพวกเอากระบือมาขายให้ผู้เสียหาย ผู้เสียหายชำระเงินให้ไป และนัดวันไปโอน ครั้นถึงวันนัดจำเลยกับพวกมาขู่เอากระบือคืนไป โดยแต่งอุบายว่าจำเลยคนหนึ่งเป็นตำรวจ กระบือนั้นถูกลักมา ถ้าไม่ยอมคืนให้จะจับส่งอำเภอ ดังนี้ ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อกระบือ

ย่อยาว

ทั้งสามสำนวนข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 2, 3, 4 ได้นำกระบือไปขายให้แก่ผู้เสียหายแต่ละคน นัดวันไปโอนกัน และผู้เสียหายได้ชำระเงินให้ไป ครั้นถึงวันนัดจะไปโอน จำเลยทั้ง 4 ได้มาบ้านผู้เสียหาย จำเลยที่ 1 อ้างตนว่าเป็นตำรวจมาขู่เอากระบือคืนไปโดยแต่งอุบายว่าเป็นกระบือที่ถูกลักมาไม่ได้ขายให้ ถ้าไม่ยอมคืนจะเอาตัวไปส่งอำเภอ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทุกคนมีความผิดฐานฉ้อกระบือตามมาตรา 304, 63 และจำเลยที่ 1 มีผิดฐานปลอม ตัวเป็นเจ้าพนักงานและหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายด้วย ให้จำคุกจำเลยและให้คืนกระบือของกลาง

จำเลยทั้ง 4 คนอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ทั้ง 3 สำนวนโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยสมคบกันฉ้อกระบือ แต่บรรยายว่าสมคบกันหลอกลวงผู้เสียหายให้ส่งเงินให้แล้วโกงโดยวิธีมาเอากระบือคืนไปโดยอาการต่าง ๆ ซึ่งในข้อฉ้อโกงเงิน ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าไม่ผิด และโจทก์มิได้อุทธรณ์ การที่จำเลยกับพวกเอากระบือไปโดยหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายจนต้องยอมให้ก็ดี ไปยึดหรือจับเอาไปก็ดี ไม่มีผิดฐานฉ้อโกง พิพากษาแก้ว่า จำเลยไม่ผิดฐานฉ้อโกง นอกนั้นยืน ให้ยกข้อคืนกระบือ

โจทก์ และผู้เสียหายฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า พฤติการณ์ที่จำเลยกระทำนี้อาจสันนิษฐานได้เป็น 2 นัย คือ สมคบกันมาแต่ต้นเพื่อกระทำการหลอกขายให้แล้วมาขู่เอากระบือไปในภายหลังอย่างหนึ่ง หรือในตอนต้นเป็นการขายให้เด็ดขาดโดยสุจริต แต่แล้วมีโลภเจตนามาขู่เอาไปโดยทุจริตภายหลังอีกอย่างหนึ่ง จะเป็นนับไหนก็ตามศาลนี้ลงโทษจำเลยในฐานฉ้อโกงเงินดังโจทก์ฎีกามาไม่ได้ เพราะเมื่อศาลลงโทษจำเลยฐานฉ้อกระบือและให้ยกฟ้องไม่ลงโทษฐานฉ้อโกงเงิน โจทก์มิได้อุทธรณ์ คงอุทธรณ์แต่ให้ลงโทษฐานฉ้อกระบือซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าจะลงโทษมิได้ ศาลนี้เห็นพ้องด้วยว่าไม่เป็นฉ้อกระบือดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ข้ออื่นโจทก์ไม่ได้ฎีกา

พิพากษายืน

Share