แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างปี 2522 ถึงวันที่ 18 เมษายน 2531จำเลยทั้งสองได้บุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์อันเป็นที่ดินของรัฐซึ่งเป็นสาธารณสมบัติแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9,108 ทวิ วันที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดนั้นเป็นเวลาหลังวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515 ใช้บังคับแล้ว โจทก์มิได้ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 108 ดังนั้นโจทก์จึงหาจำต้องบรรยายฟ้องว่า พนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากพนักงานเจ้าหน้าที่ได้แจ้งเป็นหนังสือให้จำเลยปฏิบัติตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด จำเลยเพิกเฉยไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบพนักงานเจ้าหน้าที่ได้มีคำสั่งเป็นหนังสือให้จำเลยออกจากที่ดินภายในระยะเวลาที่กำหนดแล้ว จำเลยฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง เพราะข้อความดังกล่าวบัญญัติไว้เป็นองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 อันเป็นกรณีที่ผู้กระทำผิดฝ่าฝืนมาตรา 9 อยู่ก่อนวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวใช้บังคับ ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนว่า เมื่อระหว่างปี 2522 วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด ถึงวันที่ 18 เมษายน 2531 เวลากลางวันติดต่อกันจำเลยทั้งสองซึ่งมิได้มีสิทธิครอบครองและมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ได้บังอาจบุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์หนองมะง้องอันเป็นที่ดินของรัฐซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกันในการเลี้ยงสัตว์กักเก็บน้ำ และจับสัตว์น้ำ โดยจำเลยทั้งสองบุกรุกเข้าไปทำประโยชน์เพาะปลูกพืชผลไถ่พรวน แต่งดินหว่าน พันธุ์ข้าว และปักดำต้นข้าวเป็นเนื้อที่ 9 ไร่ 2 งาน 60 ตารางวา และ 55 ไร่ 3 งาน 76 ตารางวาตามลำดับอันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 9, 108 ทวิ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ลงวันที่29 กุมภาพันธ์2515 ข้อ 11 และสั่งให้จำเลยทั้งสอง คนงานผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยทั้งสองออกไปจากที่ดินตามฟ้องและนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที 2910-2911/2531 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิ วรรคสอง ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2515 ข้อ 11 จำคุก 1 ปีจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9, 108 ทวิวรรคสาม ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์2515 ข้อ 11 จำคุก 2 ปี 6 เดือน ให้จำเลยทั้งสาม คนงาน ผู้รับจ้างผู้แทนและบริวารของจำเลยทั้งสองออกไปจากที่ดินตามฟ้อง และให้นับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2910-2911/2531 ของศาลชั้นต้นด้วย จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด6 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 3 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ในเบื้องต้นเห็นควรวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อที่ว่า ฟ้องโจทก์สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 หรือไม่ โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนว่า ระหว่างปี 2522 ถึงวันที่ 18 เมษายน 2531จำเลยทั้งสองได้บุกรุกเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์หนองมะง้องอันเป็นที่ดินของรัฐซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกันเหตุเกิดที่ตำบลแจนแลน อำเภอกุฉินารายณ์จังหวัดกาฬสินธุ์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9,108 ทวิ เห็นได้ว่า วันที่โจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสองกระทำผิดนั้นเป็นเวลาหลังวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ลงวันที่29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2515 ใช้บังคับแล้ว โจทก์หาได้ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ไม่ ดังนั้นโจทก์จึงหาจำต้องบรรยายฟ้องว่า พนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากพนักงานเจ้าหน้าที่ได้แจ้งเป็นหนังสือให้จำเลยปฏิบัติตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด จำเลยเพิกเฉยไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบ พนักงานเจ้าหน้าที่ได้มีคำสั่งเป็นหนังสือให้จำเลยออกจากที่ดินภายในระยะเวลาที่กำหนดแล้ว จำเลยฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาไม่ เพราะข้อความดังกล่าวบัญญัติไว้เป็นองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 108 อันเป็นกรณีที่ผู้กระทำผิดฝ่าฝืน มาตรา 9 อยู่ก่อนวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวใช้คำบังคับ ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 คำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยทั้งสองอ้าง รูปเรื่องไม่ตรงกับปัญหาที่จำเลยทั้งสองฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยที่ 1 จำนวน 5,000 บาทปรับจำเลยที่ 2 จำนวน 10,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 และสำหรับจำเลยที่ 2 หากมีการกักขังแทนค่าปรับก็ให้นับต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 2910-2911/2531 ของศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1