แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าโจทก์เกิดในประเทศไทยมีสัญชาติเป็นไทยให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้โจทก์ออกไปนอกราชอาณาจักรไทยจำเลยต่อสู้ว่าโจทก์เป็นคนต่างด้าวเกิดในประเทศจีนเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยมิได้รับอนุญาต ประเด็นจึงมีว่าโจทก์เป็นคนสัญชาติไทยโดยเกิดในประเทศไทยจริงหรือไม่ ส่วนข้อที่จำเลยอ้างว่าโจทก์เคยรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวย่อมขาดจากสัญชาติไทยตาม พระราชบัญญัติสัญชาติ(ฉบับที่ 2)2496 นั้นเป็นกรณีที่เกิดขึ้นเนื่องจากมี กฎหมายซึ่งเพิ่งออกใช้ภายหลังฟ้องจะเท็จจริงประการใดจึงยังไม่เป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้
คณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองซึ่งเป็นคณะบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งโดยพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองไม่ใช่บุคคลอันสังกัดขึ้นอยู่กับกรมตำรวจก็ตาม มีหน้าที่เพียงพิจารณาและลงมติเกี่ยวกับเรื่องร้องขอพิสูจน์สัญชาติเท่านั้น ส่วนการที่มีหนังสือหรือคำสั่งแจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อให้โจทก์ออกไปนอกราชอาณาจักรนั้นเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองอันสังกัดอยู่กับกรมตำรวจ โจทก์ย่อมฟ้องกรมตำรวจได้
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมือง กรมตำรวจ กระทรวงมหาดไทย ที่สั่งให้โจทก์เดินทางออกนอกราชอาณาจักร และมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์เป็นคนไทย มีสัญชาติไทย
จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์เป็นคนต่างด้าว เกิดในประเทศจีนเชื้อชาติจีน และสัญชาติจีน โจทก์เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองที่ใช้ในขณะนั้น ทั้งยังต่อสู้ในข้อกฎหมายโดยสรุปว่าโจทก์ถูกเจ้าพนักงานสั่งให้ออกไปนอกราชอาณาจักรไทยแล้ว โจทก์ได้ทราบคำสั่งแล้วไม่คัดค้านคำสั่งนี้ต่อคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองภายในกำหนด 48 ชม. คำสั่งของเจ้าพนักงานจึงเป็นยุติ โจทก์ฟ้องเพิกถอนไม่ได้ ซึ่งโจทก์ก็ได้คัดค้านคำสั่งของเจ้าพนักงานแต่เจ้าพนักงานคงไม่เชื่อตามข้ออ้างของโจทก์ ถึงหากโจทก์เป็นบุคคลสัญชาติไทยสิทธิของโจทก์ก็ถูกกระทบกระเทือนโดยคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองอันไม่ใช่บุคคลซึ่งสังกัดขึ้นอยู่กับกรมตำรวจ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องกรมตำรวจเป็นจำเลย
นอกจากข้อต่อสู้ดังกล่าวแล้ว ระหว่างพิจารณาโจทก์ได้เบิกความเป็นพยานว่าโจทก์เคยได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวมาแล้วจำเลยจึงยื่นคำแถลงขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดว่า โจทก์ขาดจากสัญชาติไทยและให้ยกฟ้องตามพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2496 ซึ่งให้เพิ่มตามมาตรา 16 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2495 ด้วยอีกประการหนึ่ง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วพิพากษาแสดงว่าโจทก์เกิดในประเทศไทยมีสัญชาติเป็นไทย ส่วนข้อกฎหมายที่จำเลยหยิบยกขึ้นต่อสู้ทุกข้อศาลแพ่งไม่รับฟัง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาทั้งปัญหาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มีรวม 2 ข้อคือ
1. ให้ศาลหยิบยกประเด็นตามคำแถลงของจำเลยที่ให้ชี้ขาดว่าโจทก์ขาดสัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2496ขึ้นวินิจฉัย เพราะตัวโจทก์เองเบิกความว่าโจทก์เป็นคนมีใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ซึ่งประเด็นข้อนี้ศาลอุทธรณ์มิได้ยกขึ้นวินิจฉัย
ข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่าคณะฟ้องคดีนี้ พระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2496 ยังไม่ได้ใช้ เพิ่งประกาศใช้ขึ้นภายหลังและที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ก็เพื่อให้ศาลแสดงว่าโจทก์เกิดในประเทศไทยมีสัญชาติเป็นไทย ให้เพิกถอนคำสั่งที่ให้โจทก์ออกไป นอกราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต ประเด็นจึงมีว่าโจทก์เป็นคนสัญชาติไทยโดยเกิดในประเทศไทยจริงหรือไม่ ส่วนข้อที่ว่าโจทก์เคยรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวย่อมขาดจากสัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2496 นั้นเป็นกรณีที่เกิดขึ้นเนื่องจากมีกฎหมายเพิ่งออกใช้ภายหลังฟ้อง จะจริงเท็จประการใดจึงยังไม่เป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้
2. คัดค้านว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องกรมตำรวจเป็นจำเลยในคดีนี้อ้าง ว่าสิทธิของโจทก์ได้รับกระทบกระเทือนโดยมติของคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองซึ่งเป็นคณะบุคคลที่ได้รับแต่งตั้งโดยพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง ไม่ใช่บุคคลอันสังกัดขึ้นอยู่กับกรมตำรวจและหนังสือที่สั่งให้โจทก์เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรไทยก็อาศัยมติของคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมือง ไม่ใช่คำสั่งของกรมตำรวจ จึงไม่มีอำนาจฟ้องกรมตำรวจ
ข้อนี้เห็นว่าคณะกรรมการพิจารณาคนเข้าเมืองมีหน้าที่เพียงพิจารณาและลงมติเกี่ยวกับเรื่องร้องขอพิสูจน์สัญชาติเท่านั้นส่วนการที่มีหนังสือหรือคำสั่งแจ้งให้โจทก์ทราบเพื่อให้โจทก์ออกไปนอกราชอาณาจักรนั้น เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมือง อันสังกัดอยู่กับกรมตำรวจ โจทก์ย่อมฟ้องกรมตำรวจได้
ข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นอันตกไป
ส่วนฎีกาของจำเลยในปัญหาข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นคนมีสัญชาติไทยดังฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่าโจทก์มีทั้งพยานบุคคลและเอกสารฟังได้ว่าโจทก์เกิดในราชอาณาจักรไทย มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน