คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1783-1799/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยออกเช็คพิพาทเพื่อเป็นประกันในการที่โจทก์ร่วมให้สินเชื่อซื้อยาปราบศัตรูและพืช โดยเมื่อถึงหนดชำระเงินตามเช็คจำเลยจะซื้อดราฟท์ส่งไปให้โจทก์ร่วม และโจทก์ร่วมก็จะคืนเช็คพิพาทให้ ดังนี้ แม้ธนาคารปฎิเสธการจ่ายเงินตามเช็คพิพาท จำเลยก็หามีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ มาตรา 3 ไม่ ข้อความในมาตรา 3(1) ที่ว่า “โดยเจตนาที่จะมิให้มีการใช้เงินตามเช็ค” ย่อมเป็นความผิดหมายความว่าเมื่อออกเช็คนั้นผู้สั่งจ่ายต้องมีเจตนาจะไม่ให้มีการจ่ายเงินในเมื่อนำเช็คไปขึ้นเงินหาได้หมายความว่าหากคู่กรณีตกลงกันไม่ให้นำเช็คไปขึ้นก็จะต้องเป็นความผิดไปด้วยไม่

ย่อยาว

คดีทั้ง 17 สำนวนนี้ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน โดยโจทก์ทั้ง 17 สำนวนฟ้องว่าจำเลยออกเช็คพิพาท 17 ฉบับ สั่งจ่ายเงินให้แก่บริษัทยูเอส.สัมมิท(โอเวอร์ซีส์) จำกัด สาขากรุงเทพฯ ผู้เสียหาย เพื่อชำระหนี้ค่าซื้อยาปราบศัตรูพืชแต่เช็คดังกล่าวธนาคารปฎิเสธการจ่ายเงิน ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3

จำเลยทั้ง 17 สำนวนให้การปฎิเสธ แต่รับว่าเป็นคนเดียวกันทุกสำนวน

บริษัทยูเอส.สัมมิท (โอเวอร์ซีส์) จำกัด สาขาประเทศไทย ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วมทั้ง 17 สำนวน

โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ร่วมฎีกา

ศาลฎีการับวินิจฉัยให้เฉพาะที่โจทก์ร่วมฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายและวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันมาแล้วว่า เช็คพิพาททั้ง 17 ฉบับนี้จำเลยออกเพื่อเป็นประกันในการที่โจทก์ร่วมให้สินเชื่อซื้อยาปราบศัตรูฝ้ายและพืชนอกจากเช็ค 17 ฉบับนี้แล้ว จำเลยยังต้องจำนองที่ดินเป็นประกันอีกด้วย เมื่อถึงกำหนดชำระเงินตามเช็ค จำเลยก็จะซื้อดราฟท์ส่งไปให้โจทก์ร่วม โจทก์ร่วมก็จะคืนเช็คเหล่านี้ให้ และโจทก์ร่วมก็ได้คืนเช็คให้จำเลยตามเอกสารหมาย ล.11-1213-14-15-16-17-18-19-20-21-22-23-24 และ ล.25 มาแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงของคดีฟังได้เช่นนี้ จำเลยก็หามีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ดังโจทก์ฟ้องไม่ จริงอยู่แม้ข้อความในมาตรา 3(1) แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คบัญญัติว่า โดยเจตนาที่จะให้มีการใช้เงินตามเช็ค” ย่อมเป็นความผิด โจทก์จึงถือว่าแม้จำเลยจะออกเช็คเพื่อประกันหนี้ก็ต้องเป็นความผิดด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นเรื่องที่โจทก์เข้าใจผิดเพราะข้อความดังกล่าวนั้น หมายความว่าเมื่อออกเช็คนั้นผู้สั่งจ่ายต้องมีเจตนาจะไม่ให้มีการจ่ายเงินในเมื่อนำเช็คไปขึ้นเงิน หาได้หมายความว่าหากคู่กรณีตกลงกันไม่ให้นำเช็คไปขึ้น (เพราะออกเพื่อประกันดุจคดีนี้) ก็จะต้องเป็นความผิดไปด้วยไม่คำพิพากษาฎีกาต่าง ๆ ที่โจทก์ร่วมอ้างมา รูปคดีไม่ตรงกับคดีนี้ กล่าวคือ คำพิพากษาฎีกาทั้ง 3 เรื่องที่โจทก์อ้างมานั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยออกเช็คให้ผู้เสียหายโดยจำเลยมีเจตนาจะให้มีการขึ้นเงินตามเช็คเหล่านั้น ฉะนั้น แม้จะออกมาในรูปค้ำประกันหรือประกันก็ตาม เมื่อธนาคารปฎิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค จำเลยก็ต้องมีความผิดเช่นเดียวกัน หาใช่ว่าเมื่อจำเลยออกเช็คมาแล้วโดยสมัครใจ และโจทก์ร่วมเป็นผู้ทรงโดยชอบ หากขึ้นเงินหรือเรียกเก็บเงินไม่ได้ด้วยประการใด จำเลยก็ต้องมีความผิดเสมอ แม้จะเป็นเรื่องออกเช็คเพื่อการประกันก็ตามดังข้อฎีกาของโจทก์ไม่

พิพากษายืน

Share