คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1780/2493

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้าหลวงประจำจังหวัดฟ้องความแพ่งแทนกระทรวงการคลัง โดยอาศัยระเบียบการปฏิบัติของกระทรวงการคลังและตามหนังสือของกระทรวงการคลัง 2 ฉบับ ซึ่งแม้จะยังไม่เพียงพอที่ถือได้ว่าเป็นการมอบอำนาจที่สมบูรณ์ก็ดี แต่ต่อมาก่อนศาลสืบพยานกระทรวงการคลังได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ข้าหลวงประจำจังหวัดหรือปลัดจังหวัดผู้ ทำการแทน มีอำนาจฟ้องจำเลยและดำเนินคดีไปจนถึงที่สุด แทนกระทรวงการคลัง ซึ่งถือได้ว่าเป็นใบมอบอำนาจอันถูกต้องแล้วดังนี้แม้จะได้ยื่นภายหลังวันชี้สองสถาน ก็ถือได้ว่าเท่ากับเป็นการให้สัตยาบันในการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ซึ่งไม่มีบทบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่งห้ามไว้แต่ประการใด ยิ่งเมื่อพิจารณาดูมาตรา 47 ป.ม.วิ.แพ่งประกอบด้วยแล้ว ย่อมเห็นได้ว่าศาลชอบที่จะพึงรับฟังใบมอบอำนาจนี้ได้ ฉะนั้นข้าหลวงประจำจังหวัดหรือปลัดจังหวัดผู้เป็นโจทก์จึงย่อมมีสิทธิฟ้องร้องดำเนินคดีได้

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๔๙๒ กล่าวว่าได้มี พ.ร.บ.โอนกรรมสิทธิที่ดินซึ่งเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินและที่วัดร้างภายในกำแพงเมืองจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กระทรวงการคลังตามเนื้อที่ทั้งหมดท้าย พ.ร.บ. และ พ.ร.บ.ฉบับนั้นบังคับใช้แต่วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๔๙๒ เมื่อวันเดือนปีใดไม่ปรากฎชัด จำเลยได้บุกรุกเข้าอยู่ในที่ที่กระทรวงการคลังรับโอนมาบางส่วน เจ้าหน้าที่ได้ประกาศและแจ้งให้จำเลยมาทำสัญญาเช่าที่ดินกระทรวงการคลังหลายหน จำเลยก็เพิกเฉยเสีย จึงขอให้บังคับขับไล่จำเลยและบริวารออกไปเสีย กระทรวงการคลังมอบให้ข้าหลวงประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยาฟ้องร้องดำเนินคดีนี้แล้วตามสำเนาหนังสือกระทรวง การคลังท้ายฟ้อง
จำเลยต่อสู้ตัดฟ้องว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเป็นโจทก์ฟ้องเพราะไม่มีใบมอบอำนาจของกระทรวงการคลังให้โจทก์ฟ้อง และต่อสู้อย่างอื่นอีก
หลังจากศาลชั้นต้นชี้สองสถาน และก่อนพิจารณาโจทก์ส่งใบมอบอำนาจของกระทรวงการคลังลงวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๙๒ ยืนยันมอบอำนาจให้ข้าหลวงประจำจังหวัดหรือนายทวี อุชชิน ปลัดจังหวัดผู้ทำการแทน มีอำนาจฟ้องจำเลยแทนกระทรวงการคลังได้ตั้งแต่วันแรกที่ได้ยื่นฟ้องต่อศาล
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว วินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องและจำเลยไม่มีสิทธิที่จะยกอำนาจการครอบครองขึ้นต่อสู้ทำลายกรรมสิทธิของกระทรวงการ คลัง พิพากษาให้โจทก์ชนะคดี
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า หนังสือกระทรวงการคลังท้ายฟ้องนั้น หาเป็นใบมอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องคดีนี้ไม่ส่วนใบมอบอำนาจลงวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๙๒ นั้น จะให้มีผลย้อนหลังไปถึงตั้งแต่วันทีโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ หาได้ไม่ เพราะกิจการที่โจทก์กระทำไปแต่แรกปราศจากอำนาจเสียแล้ว จะมอบอำนาจย้อนให้การกระทำของโจทก์เป็นการถูกต้องขึ้นหาได้ไม่ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่แล้ว เห็นว่าการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีในทางแพ่งนั้นตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งก็คงให้ถือหลักตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์นั่นเองหนังสือมอบอำนาจของกระทรวงการคลังลงวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๙๒ นั้น เท่ากับเป็นการยืนยันถึงการมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนี้ให้แน่นอนชัดเจนขึ้นอีกชั้นหนึง แม้จะยื่นภายหลังวันชี้สงสถานก็ถือได้ว่าเท่ากับเป็นการให้สัตยาบันในการฟ้องคดีนี้ ซึ่งไม่มีบทบัญญัติวิธีพิจารณาความแพ่งห้ามไว้แต่ประการใด ยิ่งเมื่อพิจารณาดูมาตรา ๔๗ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งประกอบด้วยแล้วย่อมเห็นได้ว่าศาลชอบที่จะพึงรับฟังใบมอบอำนาจนี้ได้ เพราะฉะนั้นโจทก์ผู้รับมอบย่อมมีสิทธิฟ้องร้องดำเนินคดีได้
จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยพยานหลักฐานแล้วพิพากษาต่อไป

Share