แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้จำเลยร่วมกันชำระหนี้ต่อโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 2 เด็ดขาด เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้โฆษณาคำสั่งศาลชั้นต้นให้เจ้าหนี้ของจำเลยที่ 2 ยื่นคำขอรับชำระหนี้ และต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายของจำเลยที่ 2 แล้ว ดังนั้น หนี้ที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ในคดีนี้ โจทก์จะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 27, 91 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 แม้โจทก์ไม่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ โจทก์ก็ถูกผูกมัดโดยการประนอมหนี้ด้วยตามมาตรา 56 โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้อีกไม่ได้ศาลฎีกาพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง และให้จำหน่ายคดีในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ในคดีนี้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระค่าสินค้าเป็นเงิน ๒๖๖,๘๐๙ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๒๖๓,๕๑๖ บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ให้การว่า ไม่เคยให้จำเลยที่ ๓ สั่งซื้อสินค้าตามฟ้อง โจทก์กับจำเลยที่ ๓ ซื้อขายกันเอง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน ๒๖๖,๘๐๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๒๖๓,๕๑๖ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของจำเลยที่ ๒ ที่ว่า ในขณะที่คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ ๒ ยื่นคำแถลงว่าจำเลยที่ ๒ ถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลาย และศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตั้งแต่วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๒๘ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้โฆษณาคำสั่งศาลชั้นต้น เพื่อให้สิทธิแก่เจ้าหนี้ของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหนี้ก่อนที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด หรือเป็นเจ้าหนี้ที่สามารถยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ ให้ไปยื่นขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนด ๒ เดือนนับแต่วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๒๘ และต่อมาศาลชั้นต้นเห็นชอบด้วยกับการประนอมหนี้แล้วเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๒๘ ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งจำหน่ายหรือยกฟ้องคดีที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ ศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์แล้ว โจทก์แถลงรับว่า จำเลยที่ ๒ ถูกศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และต่อมาศาลชั้นต้นได้เห็นชอบด้วยกับการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายจริง ศาลชั้นต้นส่งหลักฐานต่าง ๆ ดังกล่าวไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาสั่ง แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีนี้โดยมิได้กล่าวถึงเรื่องนี้แต่ประการใดจึงขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเฉพาะส่วนของจำเลยที่ ๒ เสียนั้น เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ ๒ เด็ดขาด ตั้งแต่วันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๒๘ และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้โฆษณาคำสั่งศาลชั้นต้นให้เจ้าหนี้ของจำเลยที่ ๒ ไปยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายในกำหนด ๒ เดือน นับตั้งแต่วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๒๘ และต่อมาในวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๒๙ ศาลชั้นต้นก็ได้มีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายของจำเลยที่ ๒ แล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าหนี้รายที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๒ นี้ โจทก์จะต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๒๗, ๙๑ แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ หนี้ดังกล่าวโจทก์อาจยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ อย่างไรก็ดีแม้โจทก์จะไม่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ โจทก์ก็ถูกผูกมัดโดยการประนอมหนี้ด้วยมาตรา ๕๖ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อการประนอมหนี้ผูกมัดโจทก์ โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยที่ ๒ ชำระหนี้อีกไม่ได้ ส่วนที่โจทก์แก้ฎีกาว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โฆษณาคำสั่งที่พิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ ๒ ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และจำเลยที่ ๒ ก็มิได้แสดงหลักฐานยืนยันให้เป็นที่พอใจแก่ศาล หนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ เป็นหนี้ที่ยังไม่แน่นอน โจทก์ไม่สามารถขอรับชำระหนี้ได้ในคดีล้มละลาย ดังนั้น โจทก์จึงไม่ถูกมัดโดยการประนอมหนี้แต่อย่างใดนั้น เห็นว่า โจทก์ได้รับสำเนาคำแถลงของจำเลยที่ ๒ ดังกล่าว และแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ ๒ ถูกศาลชั้นต้นฎีกาสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และต่อมาศาลชั้นต้นเห็นชอบด้วยกับการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายปรากฏตามคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คำแถลงของจำเลยที่ ๒ จริง โดยโจทก์มิได้คัดค้านแต่ประการใด โจทก์จะแก้ฎีกาโต้เถียงเป็นอย่างอื่นอีกไม่ได้
พิพากษายืน แต่ให้ยกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ ให้จำหน่ายคดีในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ ออกจากสารบบความ ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๑,๕๐๐ บาท แทนโจทก์ ส่วนค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๒ ให้เป็นพับไปทั้งสามศาล.