แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่พิพาทเป็นของโจทก์ แม้จะมีข้อจำกัดกรรมสิทธิ์บางส่วนตามพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พ.ศ.2485. โจทก์ก็มีสิทธิให้จำเลยเช่าได้. และโจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้.
จำเลยทำสัญญาเช่าที่รายพิพาทจากโจทก์ เมื่อวันที่ 1เมษายน 2492 มีกำหนด 3 ปี. เมื่อสิ้นกำหนดเวลาเช่าแล้ว จำเลยครองที่พิพาทอยู่. จำเลยได้ชำระค่าเช่าให้โจทก์เรื่อยมา. โจทก์เพิ่งบอกเลิกสัญญาเช่าเมื่อเดือนมกราคม2504. โจทก์ย่อมฟ้องขับไล่จำเลยได้. คดีไม่ขาดอายุความ.
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายถึงวันฟ้อง. เมื่อศาลเห็นสมควรศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจนถึงวันที่จำเลยรื้อถอนโรงเรือนออกไปจากที่ดินของโจทก์ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(4).
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำหนังสือเช่าที่ดินโจทก์โฉนดที่ 3898เพื่อปลูกโรงอยู่อาศัยมีกำหนด 3 ปี ครบ 3 ปี โจทก์จำเลยตกลงกันโดยปริยายให้จำเลยเช่าต่อมาเป็นปี ๆ โดยอาศัยหนังสือสัญญาเช่า ต่อมาโจทก์ต้องการที่ดินให้ผู้อื่นเช่าทำการค้า จึงบอกเลิกสัญญา ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารและรื้อถอนโรงเรือนและเรียกค่าเสียหาย จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกการเช่ากับโจทก์ แล้วย้ายไปปลูกอยู่ที่ชานคลองประเวศบุรีรมย์ซึ่งเป็นที่ของชลประทาน ฯลฯ คดีโจทก์ขาดอายุความ ศาลชั้นต้นเห็นว่า เรือนหลังใหญ่ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของจำเลยอยู่ทั้งในที่ชานคลองและในที่ของโจทก์ พิพากษาให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนของจำเลยส่วนที่ปลูกเกินกว่าชานคลองซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์ออกไปพ้นที่ดินของโจทก์ ฯลฯ โจทก์จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกไปเสียจากที่ดินเช่าของโจทก์ โจทก์จำเลยฎีกา ศาลฎีกาฟังว่า ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ และเห็นว่าแม้จะมีข้อจำกัดกรรมสิทธิ์บางส่วนตามพระราชบัญญัติการชลประทานหลวงพ.ศ. 2485 โจทก์ก็มีสิทธิให้จำเลยเช่าได้ และโจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยได้ ศาลฎีกาฟังว่า เรือนหลังใหญ่ของจำเลยอยู่ในที่ดินที่โจทก์มีกรรมสิทธิ์และเห็นว่าจำเลยทำสัญญาเช่าที่รายพิพาทจากโจทก์เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2492 มีกำหนด 3 ปี เมื่อสิ้นกำหนดดังกล่าว จำเลยยังครองที่พิพาทอยู่ จำเลยได้ชำระค่าเช่าให้โจทก์เรื่อยมา โจทก์เพิ่งบอกเลิกสัญญาเช่าเมื่อเดือนมกราคม 2504 โจทก์ย่อมฟ้องขับไล่จำเลยได้ คดีไม่ขาดอายุความ นอกจากนี้ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายถึงวันฟ้อง เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจนถึงวันที่จำเลยได้รื้อถอนโรงเรือนออกไปได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(4) พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่รายพิพาท และให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดรวมทั้งโรงเล็กออกไป ให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนปีละ 50 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกไปทั้งหมด.