แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยขายที่ดินมือเปล่า ไม่มีโฉนดหรือหนังสือสำคัญสำหรับที่ให้ภริยาโจทก์ได้รับชำระราคาแล้วและได้อพยพไปอยู่ที่อื่นให้โจทก์เข้าครอบครองเป็นเจ้าของ แสดงว่าจำเลยได้สละเจตนาครอบครองไม่ยึดถือที่ดินนั้นต่อไป
แม้เป็นการซื้อขายที่ดินมือเปล่า และจำเลยสละเจตนาครอบครองแล้ว แต่เมื่อมีข้อตกลงกันว่าจำเลยจะไปทำนิติกรรมสัญญาซื้อขาย โอนที่ดินให้ภริยาโจทก์ที่อำเภอ และจำเลยได้ไปยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมและการสอบสวนสิทธิในที่ดินประเภทขายเพื่อจะโอนให้ภริยาโจทก์แล้ว แต่จำเลยไม่ไปจัดการจดทะเบียนโอนที่ดินตามข้อตกลง โจทก์ย่อมฟ้องขอให้บังคับจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแบ่งขายที่ดินตาม ส.ค.1 ให้โจทก์และภริยาซึ่งเป็นบุตรของจำเลย เนื้อที่ 13 ไร่ 1 งาน 28 ตารางวา ราคา 4,000 บาทโดยมิได้ทำหนังสือและจดทะเบียน จำเลยได้รับเงินและมอบ ส.ค.1กับที่ดินให้โจทก์ครอบครองแต่วันซื้อ เมื่อซื้อแล้วจำเลยถามโจทก์ว่าจะให้ใส่ชื่อใครเป็นเจ้าของที่ดิน โจทก์บอกให้ใส่ชื่อภริยา จำเลยจึงยื่นคำขอทำนิติกรรมขายที่ดินดังกล่าวให้ภริยาโจทก์ แต่แล้วกลับไม่ยอมทำสัญญาซื้อขาย ขอให้บังคับจำเลยไปทำนิติกรรมสัญญาซื้อขายและโอนที่ดินให้โจทก์หรือภริยาโจทก์
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปทำนิติกรรมโอนขายที่พิพาทตาม ส.ค.1 เลขที่ 78 เนื้อที่ 13 ไร่ 1 งาน 28 ตารางวาให้แก่โจทก์หรือภริยาโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เป็นการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เสร็จเด็ดขาดเมื่อไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นโมฆะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ศาลมีอำนาจยกข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยขึ้นวินิจฉัยได้ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ตกลงขายที่พิพาทจำนวนเนื้อที่ 13 ไร่ 1 งาน 28 ตารางวา ให้แก่ภริยาโจทก์เป็นราคา 4,000 บาท จำเลยได้รับชำระราคาค่าที่ดินไปครบถ้วน โจทก์ได้เข้าครอบครองเป็นเจ้าของตลอดมา และจำเลยได้อพยพไปอยู่ที่อื่น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับที่พิพาทอีกเลย
ศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไปว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า ไม่มีโฉนดหรือหนังสือสำคัญสำหรับที่แต่อย่างใด เมื่อจำเลยขายที่พิพาทให้ภริยาโจทก์ไปตั้งแต่ พ.ศ.2505 โดยจำเลยได้อพยพไปอยู่เสียที่อื่นไม่ได้มาเกี่ยวข้องกับที่พิพาทแล้ว แสดงว่าจำเลยได้สละเจตนาครอบครองหรือไม่ยึดถือที่พิพาทต่อไป แต่เนื่องจากการซื้อขายรายนี้มีข้อตกลงกันว่า จำเลยจะไปทำนิติกรรมสัญญาซื้อขายและโอนที่ดินส.ค.1 เลขที่ 78 ให้ภริยาโจทก์ที่อำเภอ และจำเลยก็ได้ไปยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม และการสอบสวนสิทธิในที่ดินประเภทขาย ตามเอกสารหมาย จ.1 เพื่อจะโอนให้ภริยาโจทก์แล้วแต่จำเลยหาได้ไปจัดการจดทะเบียนโอนที่ดินให้ภริยาโจทก์ไม่จนทางอำเภอมีหนังสือเตือนให้จำเลยไปจัดการเสียแต่ก็ไม่ไป ดังนี้โจทก์ชอบที่จะขอให้จำเลยไปจัดการจดทะเบียนโอนที่ดินตามข้อตกลงได้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น