แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พนักงานอัยการและผู้ร้องต่างฟ้องจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา300และพระราชบัญญัติจราจรทางบกฯแต่ผู้ร้องได้ขอถอนฟ้องคดีของตนและยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ แม้ว่าผู้ร้องอาจขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้โดยไม่จำต้องกล่าวหรือมีข้อแม้ในคำร้องขอถอนฟ้องว่าถอนไปเพื่อขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการก็ตามแต่พฤติการณ์ที่ผู้ร้องเพิ่งจะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์หลังจากที่ได้ถอนฟ้องคดีเดิมไปแล้วเป็นเวลานานกว่า10เดือนแสดงว่าผู้ร้องมีเจตนาที่จะถอนฟ้องจำเลยเด็ดขาดแล้วตั้งแต่ต้นตามความหมายในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา36สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของผู้ร้องจึงระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา39(2)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์ไปตามถนนที่มีสภาพแคบด้วยความเร็วสูง เมื่อมีรถคันอื่นแล่นสวนทางมา จำเลยไม่ลดความเร็วรถลงและขับล้ำเข้าไปในช่องเดินรถที่สวนมาด้วยความประมาทของจำเลย เป็นเหตุให้รถจำเลยเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ของนายปัญญา ด่านจงถาวร ผู้ขับสวนทางมา เป็นเหตุให้รถของนายปัญญาได้รับความเสียหาย และนายปัญญาได้รับอันตรายสาหัสต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนา และจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์แล้วเสร็จและระหว่างนัดสืบพยานจำเลยนั้นนายปัญญา ด่านจงถาวร ผู้ร้องยื่นคำร้องอ้างว่า เป็นผู้เสียหายขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ โจทก์และจำเลยคัดค้านการขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ของผู้ร้อง ศาลชั้นต้นฟังคำแถลงของโจทก์จำเลยแล้วยกคำร้องของผู้ร้อง ผู้ร้องโต้แย้งคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวไว้เพื่อใช้สิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาต่อไป
ผู้ร้อง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
ผู้ร้อง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นผู้ขับรถยนต์เฉี่ยวชนกับรถยนต์จำเลยเป็นเหตุให้ผู้ร้องได้รับอันตรายสาหัสผู้ร้องยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 8065/2536 ของศาลชั้นต้นในข้อหาเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้ ระหว่างไต่สวนมูลฟ้องผู้ร้องขอถอนคำฟ้อง ศาลชั้นต้นอนุญาตและมีคำสั่งจำหน่ายคดีเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2536 เป็นคดีหมายเลขแดงที่9050/2536 ในชั้นสอบสวนคดีนี้โจทก์มีความเห็นสั่งฟ้องผู้ร้องข้อหาขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ทรัพย์สินผู้อื่นใดรับความเสียหายแต่โจทก์มิได้ตัวผู้ร้องมาดำเนินคดีจนคดีขาดอายุความปัญหาตามฎีกาผู้ร้องมีว่า ผู้ร้องจะเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการโจทก์ในคดีนี้ตามคำร้องได้หรือไม่ ผู้ร้องฎีกาว่าการที่ผู้ร้องถอนฟ้องนั้นไม่จำต้องระบุในคำร้องว่าจะถอนไปเพื่อเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ ก็มีสิทธิขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการนั้นเห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36 บัญญัติว่าคดีอาญาซึ่งได้ถอนฟ้องไปจากศาลแล้วจะนำมาฟ้องอีกหาได้ไม่ เว้นแต่จะเข้าอยู่ในข้อยกเว้นต่อไปนี้
(1) ถ้าพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องคดีอาญาซึ่งไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัวไว้แล้วได้ถอนฟ้องคดีนั้นไป การถอนนั้นไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้องคดีนั้นใหม่
(2) ถ้าพนักงานอัยการถอนคดีซึ่งเป็นความผิดส่วนตัวไปโดยมิได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้เสียหาย การถอนนั้นไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้องคดีนั้นใหม่
(3) ถ้าผู้เสียหายได้ยื่นฟ้องคดีอาญาไว้แล้ว ได้ถอนฟ้องคดีนั้นเสีย การถอนฟ้องนี้ไม่ตัดสิทธิพนักงานอัยการที่จะยื่นฟ้องคดีนั้นใหม่ เว้นแต่คดีซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัว
ปรากฎว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2536 ส่วนคดีของผู้ร้องผู้ร้องฟ้องและถอนฟ้องจำเลยไปเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2536โดยไม่ปรากฎข้อความในคำร้องขอถอนฟ้องว่าถอนไปเพื่อขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ต่อมาวันที่ 30 สิงหาคม 2537 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการโจทก์ในคดีนี้ ดังนี้แม้ว่าผู้ร้องอาจขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้โดยไม่จำต้องกล่าวหรือมีข้อแม้ในคำร้องขอถอนฟ้องว่าถอนไปเพื่อขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการก็ตาม แต่พฤติการณ์ที่ผู้ร้องเพิ่งจะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์หลังจากที่ได้ถอนฟ้องคดีเดิมไปแล้วเป็นระยะเวลานานกว่า 10 เดือน เห็นได้ว่าผู้ร้องมีเจตนาที่จะถอนฟ้องจำเลยเด็ดขาดแล้วตั้งแต่ต้นตามความหมายในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของผู้ร้องจึงระงับไปแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(2) เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการเท่ากับนำคดีมาฟ้องจำเลยใหม่อีก จึงต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้ว จึงไม่จำต้องวินิจฉัยข้อฎีกาที่ว่าผู้ร้องเป็นผู้เสียหายหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการนั้นชอบแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน