คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1760/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นเจ้าของดิน เมื่อจำเลยขุดเอาดินไปโดยไม่มีสิทธิ โจทก์ย่อมฟ้องบังคับให้จำเลยนำดินที่ขุดไปนั้นคืนมาหรือขอให้จำเลยชดใช้ราคาได้ เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยขุดดินของโจทก์ไปขายให้แก่บุคคลอื่นแล้ว โจทก์จึงชอบที่จะฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้ราคาดินดังกล่าวแก่โจทก์ได้ เป็นการใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336 มิใช่ฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด จึงไม่อยู่ในบังคับมาตรา 448

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 72,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยชดใช้ค่าขาดประโยชน์ปีละ 6,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าโจทก์จะสามารถทำการเกษตรได้
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยขอสละประเด็นตามข้อต่อสู้ข้ออื่นและแถลงรับข้อเท็จจริงว่าดินที่จำเลยขุดไปเป็นดินของโจทก์และโจทก์เสียหายตามฟ้องจริง โจทก์และจำเลยท้ากันโดยขอให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอายุความเพียงข้อเดียว หากศาลวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความโจทก์ยอมแพ้ หากศาลวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความจำเลยยอมแพ้ ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ฉบับลงวันที่ 22 พฤศจิกายน 2545
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ในส่วนที่เรียกให้จำเลยใช้ราคาเนื้อดินที่จำเลยขุดเอาไปเป็นเนื้อดินประมาณ 600 ลูกบาศก์เมตร เป็นเงิน 24,000 บาท ไม่ขาดอายุความ สำหรับฟ้องในส่วนที่ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ในที่ดินที่จำเลยขุดไปเป็นการเรียกค่าเสียหายในมูลละเมิด ขาดอายุความแล้ว พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 24,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 17 มกราคม 2544) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 1,000 บาท คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เรียกราคาดินที่จำเลยขุดไปขายจำนวน 24,000 บาท ขาดอายุความหรือไม่ ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า ดินที่จำเลยขุดไปจากที่ดินของโจทก์ไม่ได้อยู่ในความครอบครองของจำเลย โจทก์จึงไม่มีสิทธิติดตามเอาคืนจากจำเลย คำฟ้องของโจทก์เป็นการฟ้องให้จำเลยรับผิดฐานละเมิดมีอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ศาลชั้นต้นจะนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 มาใช้บังคับไม่ได้นั้น เห็นว่า คดีนี้จำเลยอุทธรณ์ได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ซึ่งศาลชั้นต้นรับฟังข้อเท็จจริงว่า ระหว่างวันที่ 6 มิถุนายน 2539 ถึงวันที่ 16 มิถุนายน 2539 จำเลยได้ขุดเอาดินไปจากที่ดินของโจทก์เป็นเนื้อดินประมาณ 600 ลูกบาศก์เมตร เป็นเงิน 24,000 บาท ศาลฎีกาเห็นว่า ดินที่จำเลยขุดไปเป็นทรัพย์สินของโจทก์ จำเลยไม่มีสิทธิที่จะขุดดินไปจากที่ดินของโจทก์ เมื่อจำเลยขุดเอาดินของโจทก์ไป โจทก์ย่อมฟ้องบังคับให้จำเลยนำดินที่ขุดไปนั้นคืนมาหรือขอให้จำเลยชดใช้ราคาได้ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายไว้ชัดแจ้งว่าจำเลยขุดดินของโจทก์ไปขายให้แก่บุคคลอื่นแล้ว โจทก์จึงชอบที่จะฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้ราคาดินดังกล่าวแก่โจทก์ได้ เป็นการใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิที่จะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 มิใช่ฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิด จึงไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 ดังที่จำเลยอ้าง ทั้งการฟ้องคดีเพื่อใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนดังกล่าวนั้น โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของมีสิทธิติดตามได้เสมอเว้นแต่กรณีจะต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และ 1383 โจทก์จึงจะหมดสิทธิติดตามเอาคืน ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความและพิพากษาให้จำเลยใช้ราคาดินแก่โจทก์นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share