คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1752/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ไม้ท่อนที่สามารถนำไปแปรรูปเป็นไม้พื้นปาเก้ ลูกกรงหรือซี่ลูกกรงได้ไม่มีลักษณะที่จะใช้เป็นเชื้อเพลิงยิ่งกว่าจะใช้ประโยชน์อย่างอื่น จึงไม่เป็นไม้ฟืนตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 4(8)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสี่ร่วมกันมีไว้ในความครอบครองซึ่งไม้แดง ไม้เต็ง ไม้ประดู่ ไม้พลวง และไม้รัง อันเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ซึ่งยังมิได้แปรรูป จำนวน 68 ท่อน ปริมาตร 3.09ลูกบาศก์เมตร และไม้ฟืนอันเป็นของป่าหวงห้าม ปริมาตร 34.89ลูกบาศก์เมตร โดยเป็นไม้และไม้ฟืนที่มีผู้ตัดฟันชักลากและเก็บหามาจากป่าสงวนแห่งชาติ ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสี่ไม่ได้รับอนุญาตและรู้อยู่แล้วว่าเป็นไม้และไม้ฟืนที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานทำไม้และเก็บหาของป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 4, 5, 6, 9, 14, 31, 34, 35ที่แก้ไขแล้ว พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4, 11, 27, 29,29 ทวิ, 69, 70, 71 ทวิ, 73, 74, 74 จัตวา ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91 ริบไม้และของป่าของกลาง กับจ่ายสินบนนำจับตามกฎหมายจำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 34พระราชบัญญัติ ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 29 ทวิ, 70 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 31ประกอบมาตรา 34 อันเป็นบทหนัก จำคุกคนละ 2 ปี และปรับคนละ5,000 บาท ของกลางริบจ่ายสินบนนำจับกึ่งหนึ่งของค่าปรับ โจทก์และจำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 69 วรรคสอง (2),70 อีกกระทงหนึ่ง จำคุกคนละ 3 ปี ปรับคนละ 6,000 บาท รวมโทษตามข้อหามีไม้ฟืนโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก 2 ปี ปรับ 5,000 บาท เป็นจำคุกคนละ 5 ปี ปรับคนละ 11,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสี่ฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า “จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ได้ทราบว่าไม้ของกลางเป็นไม้ที่ได้มาจากป่าสงวนแห่งชาติและได้มาโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายและทราบว่าเป็นไม้ที่จำเลยที่ 4 มีไว้ในครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถยนต์บรรทุกของกลางในฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 4 และจำเลยที่ 2 กับที่ 3 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 4 ซึ่งทำหน้าที่ประจำรถยนต์บรรทุกของกลาง ซึ่งเป็นเรื่องที่จะได้รับค่าจ้างตอบแทนเท่านั้น มิได้มีส่วนในการครอบครองไม้ของกลางด้วยการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จึงเป็นเรื่องให้ความช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 4 กระทำความผิด จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 4
ปัญหาต่อไปตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่ว่า ไม้ของกลางบางส่วนคือไม้แดง ไม้เต็ง ไม้ประดู่ ไม้พลวง และไม้รัง รวม 68 ท่อน ปริมาตร3.09 ลูกบาศก์เมตร เป็นไม้ฟืนอันเป็นของป่าหรือไม่ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4(8) ให้คำนิยามของคำว่า ไม้ฟืน ไว้ว่า หมายความว่า บรรดาไม้ที่มีลักษณะและคุณภาพเหมาะสมที่จะใช้เป็นเชื้อเพลิงยิ่งกว่าจะใช้ประโยชน์อย่างอื่น สำหรับไม้ท่อนของกลางดังกล่าว นายศรีเทาเบิกความได้แยกออกมาจากส่วนที่เป็นไม้ฟืนซึ่งมีลักษณะเป็นรูและโพลงเหมาะสำหรับเป็นเชื้อเพลิง เป็นไม้ท่อนที่สามารถนำไปแปรรูปเป็นไม้พื้นปาเก้ ลูกกรงหรือซี่ลูกกรงได้ ซึ่งตามภาพถ่ายไม้ของกลางหมาย จ.2 จะเห็นได้ว่ามีลักษณะที่จะทำประโยชน์ได้ดังคำเบิกความของนายศรีเทาและการตรวจสอบนี้ยังได้ทำบันทึกและบัญชีขนาดไม้ของกลางนี้ไว้ตามบันทึกการตรวจสอบจำนวน วัดขนาด และปริมาตรไม้ของกลางกับบัญชีขนาดไม้ของกลางไว้ตามเอกสารหมาย จ.5 แผ่นที่ 1 ถึงแผ่นที่ 4และได้แยกไม้ที่มีลักษณะเป็นไม้ฟืนไว้ตามบัญชีของป่า (ไม้ฟืน)เอกสารหมาย จ.5 แผ่นที่ 5 ที่จำเลยทั้งสี่นำสืบว่า ไม้ของกลางทั้งหมดเป็นไม้ฟืนจึงเป็นคำเบิกความโดยปราศจากเหตุผลและขัดกับลักษณะไม้ของกลางที่จะพึงรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ฯลฯ”
“อนึ่ง การที่จำเลยที่ 4 รับไม้ท่อนของกลางซึ่งเป็นไม้ที่มีผู้ได้มาโดยการกระทำผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507มาตรา 14 ย่อมมีความผิดตามมาตรา 31 และ 34 อีกบทหนึ่งด้วยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 4 ตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 69 วรรคสอง, 70 บทเดียว จึงไม่ชอบ และที่ศาลชั้นต้นลงโทษฐานรับไม้ฟืนของกลางไว้ในครอบครองโดยมิได้ระบุพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 31 วรรคสอง และพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 มาตรา 29 และ 71 ทวิ ก็เป็นการปรับบทลงโทษไม่ครบถ้วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 4 มีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคสอง และ 34พระราชบัญญัติ ป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 11, 29 ทวิ, 69 วรรคสอง,70, 71 ทวิ, 73 วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90, 91 ส่วนจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 มีความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าวประกอบด้วยมาตรา 86 ฐานรับไม้ท่อนของกลางไว้ในครอบครอง ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดกระทงหนึ่ง ให้ลงโทษจำเลยที่ 4 จำคุก 3 ปี ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ฐานเป็นผู้สนับสนุนในความผิดกระทงนี้ จำคุกคนละ 3 ปี ฐานรับไม้ฟืนของกลางไว้ในครอบครอง ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติพ.ศ. 2507 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดอีกกระทงหนึ่ง ให้ลงโทษจำเลยที่ 4 จำคุก 2 ปี ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฐานเป็นผู้สนับสนุนในความผิดกระทงนี้ จำคุกคนละ 1 ปี 4 เดือน รวมโทษสำหรับจำเลยที่ 4 จำคุก 5 ปี สำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 จำคุกคนละ 3 ปี 4 เดือน โดยไม่ลงโทษปรับจำเลยทุกคน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share