แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่ฎีกาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงซึ่งยุติแล้วตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา
เมื่อเรือนพิพาทอยู่ในทำเลที่มีการค้าและเป็นสถานที่ซึ่งทำการติดต่อกับการค้าทั้งได้เคยทำการค้ามาก่อนกับจำเลยก็ได้เช่าไว้เพื่อทำการค้า ถึงแม้ว่าจำเลยและครอบครัวจะอยู่ด้วยก็อยู่เพื่อประกอบการค้านั่นเองดังนั้นเรือนพิพาทจึงมิใช่เคหะอันจะได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ
เมื่อฟังว่าจำเลยเช่าเรือนพิพาทเพื่อทำการค้าจริงๆ ดังสัญญาเช่าที่โจทก์อ้างประกอบฟ้องแล้ว ประเด็นเรื่องนิติกรรมอำพรางตามข้อต่อสู้ของจำเลยก็ย่อมตกไป
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวซึ่งเช่าประกอบการค้าโดยครบสัญญาเช่าแล้วจำเลยไม่ยอมต่อสัญญาตามเงื่อนไขของโจทก์ โจทก์บอกเลิกการเช่าและเรียกค่าเสียหาย จำเลยต่อสู้ว่าเช่าเรือนพิพาทเพื่ออยู่อาศัยอยู่ในตรอกไม่ใช่ริมถนน ไม่ใช่ทำเลการค้า สัญญาเช่าข้อ 3 ท้ายฟ้องที่ว่าเช่าเพื่อทำการค้าเป็นนิติกรรมอำพรางเป็นโมฆะ แต่เช่าห้องของโจทก์อีกหลังหนึ่งอยู่เยื้องเรือนพิพาทเป็นสำนักงานในการค้าของจำเลย ๆ อยู่ในเรือนพิพาทมา 20 ปีเศษแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่และใช้ค่าเสียหาย
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาผู้พิจารณาคดีรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงด้วย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่าเรือนพิพาทเป็นเคหะตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯและสัญญาเช่าเป็นนิติกรรมอำพราง
ศาลฎีกาปรึกษาว่าเมื่อข้อเท็จจริงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ก็ต้องฟังว่าเรือนพิพาทอยู่ในที่ซึ่งมีการค้าและเป็นสถานที่ซึ่งทำการติดต่อกับการค้าทั้งได้เคยทำการค้ามาก่อนและจำเลยก็ได้เช่าห้องนี้เพื่อทำการค้า แม้จำเลยและครอบครัวจะอยู่ชั้นบนของเรือนพิพาทก็อยู่เพื่อประกอบการค้า เรือนพิพาทจึงมิใช่เป็นเคหะอันจะได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯลฯ เมื่อฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเช่าเรือนพิพาทเพื่อทำการค้าจริง ๆ ดังสัญญาเช่าที่โจทก์อ้างประกอบฟ้องประเด็นเรื่องนิติกรรมอำพรางตามคำให้การต่อสู้ของจำเลยก็ย่อมตกไปด้วยเพราะไม่มีการอำพรางกันแต่ประการใดพิพากษายืน