แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามคำให้การของจำเลยอ่านรวมกันพออนุมานได้ว่าจำเลยโต้เถียงเรื่องการซื้อขายที่พิพาทว่าเป็นการไม่สุจริต ก็ถือว่าจำเลยโต้เถียงว่าโจทก์ทำการโดยไม่สุจริตแล้ว
ในข้อโต้เถียงเรื่องทุจริตหรือไม่นั้นมี ป.พ.พ.มง 6 บัญญัติเป็นข้อสันนิษฐานไว้ก่อนว่าบุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต ฉะนั้นเมื่อจำเลยโต้เถียงว่าโจทก์กระทำการโดยไม่สุจริต จำเลยย่อมมีหน้าที่พิสูจน์แสดงหักล้างข้อสันนิษฐานนี้
ที่ดินซึ่งเป็นที่มีโฉนดเป็นหลักฐาน แม้หากจำเลยจะได้ใช้สิทธิครอบครองที่พิพาทซึ่งอยู่ภายในโฉนดมาโดยปรปักษ์ต่อเจ้าของเดิมเป็นเวลากว่า 10 ปี แล้วก็ตามจำเลยมิได้จดทะเบียนเป็นสิทธิตาม ป.พ.พ.ม.1299 วรรค 2 จะยกสิทธิครอบครองอันยังมิได้จดทะเบียนนั้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ผู้ได้ที่มาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนโอนซื้อขายกันต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยชอบด้วย ก.ม.แล้วไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโ่จทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิที่ดินโฉนดที่ ๔๗๐ ตำบลสนามแจง อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี เนื้อที่ ๓๐ ไร่เศษ โดยซื้อจากนายเส็ง งามขำซื้อแล้วโจทก์ตรวจดูเขตที่ดินตามหน้าโฉนดปรากฎว่าจำเลยปลูกเรือนอยู่ในที่ดินของโจทก์ทางด้านเหนือเนื้อที่ ๒ ไร่เศษ โจทก์ให้จำเลยรื้อถอนเรือนและสิ่งปลูกสร้าง ชั้นแรกจำเลยพูดอิดเอื้อนว่าจะรื้อ ในที่สุดกลับว่าเป็นที่ดินของจำเลย จึงให้ศาลบังคับขับไล่จำเลยและบริวาร ให้จำเลยรื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่ดินและห้ามจำเลยเกี่ยวข้องขัดขวางการครอบครองที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่าจำเลยปลูกเรือนมีต้นไม้เป็นล้อมมาเป็นเวลา ๓๑ ปี โดยเจตนาครอบครองเป็นเจ้าของ และถือกรรมสิทธิที่พิพาทโดยสงบ เปิดเผย ไม่มีใครขัดขวาง โจทก์ไม่เคยบอกให้จำเลยรื้อบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่พิพาท จำเลยไม่เคยพูดขอซื้อที่พิพาทจากโจทก์ จำเลยเคยบอกโจทก์ว่าที่พิพาทเป็นที่ดินของจำเลย โจทก์ไม่คัดค้านและโจทก์ไม่เคยซื้อที่พิพาทจากนายเส็ง งามขำ ที่พิพาทเป็นที่ดินซึ่งจำเลยจับจองมานานแล้ว
ศาลชั้นต้นฟังว่าที่พิพาทอยู่หน้าโฉนดของโจทก์การที่จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทมากกว่า ๓๐ ปี โดยมิได้จดทะเบียนสิทธิไม่เป็นข้อต่อสู้ โจทก์ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิไว้ตาม ป.พ.พ.ม.๑๒๙๙ วรรค ๒ ส่วนข้อที่ว่าโ่จทก์ได้เสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตหรือไม่นั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การจำเลยจึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบได้ จึงพิพากษาขับไล่จำเลยและบริวาร และให้รื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่พิพาทห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องขัดขวางการครอบครองที่ดินของโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายให้เป็นพับไป
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาทเป็นที่ภายในโฉนดที่ ๙๗๐ ที่นายเส็งได้จดทะเบียนโอนขายให้โจทก์และ โจทก์ได้เสียค่าตอบแทน แต่โจทก์ซื้อมาโดยไม่สุจริต จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทโดยไม่มีใครขัดขวางสิทธิเป็่นเวลาประมาณ ๓๐ ปีแล้วโจทก์ไม่ควรได้กรรมสิทธิในที่พิพาท พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนาย ๒ ศาล ๑๕๐ บาทแทนจำเลย
โจทก์ฎีกาเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าจำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้เรื่องโจทก์ซื้อที่พิพาทโดยไม่สุจริตไว้ในคำให้การ จำเลยจึงไม่มีประเด็นนำสืบและศาลจะรับฟังความข้อนี้ไม่ได้กับฎีกาคัดค้านในข้อเท็จจริงว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทโดยสุจริต
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาแล้วเห็นว่าตามคำให้การของจำเลยอ่านรวมกันพออนุมานได้ว่าจำเลยโต้เถียงเรื่องการซื้อขายที่พิพาทเป็นการไม่สุจริต แต่ในข้อโต้เถียงเรื่องสุจริตหรือไม่นั้นมี ป.พ.พ.ม.๖ บัญญัติเป็นข้อสันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต ฉนั้นเมื่อจำเลยโต้เถียงว่าโจทก์กระทำการโดยไม่สุจริต จำเลยย่อมมีหน้าที่พิสูจน์แสดงหักล้างข้อสันนิษฐานนี้
ได้ตรวจคำพยานหลักฐานของจำเลยตลอดแล้วจำเลยมิได้นำสืบให้เป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์ทำการไม่สุจริตอย่างไร และจำเลยยังเบิกความรับว่าเมื่อนายเส็งขายที่โฉนดที่ ๙๗๐ ให้นายแหวนโจทก์เมื่อ ๕ ปีมานั้น จำเลยก็ทราบ นายเส็งตายเมื่อปีกลายนี้ เวลานายเส็งจะขาย นายเส็งได้บอกให้จำเลยรู้ด้วยแต่ก็ไม่ปรากฎว่าจำเลยได้โต้แย้งคัดค้านแสดงตนว่าเป็นเจ้าของที่พิพาทให้โจทก์รู้แต่อย่างไรเลย ตามคำให้การจำเลยกล่าวว่าจำเลยเคยบอกโจทก์ว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของจำเลย โจทก์ไม่คัดค้านครันนำสืบ จำเลยก็มิได้นำสืบถึงความข้อนี้ โจทก์นำสืบว่าได้ซื้อที่ดิน รายนี้ซึ่งมีเนื้อที่ ๓๐ ไร่เศษ โดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนโอนซื้อขายกันต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยชอบด้วย ก.ม. ซื้อแล้วโจทก์ไปดูที่ดิน ปรากฎว่าจำเลยปลูกเรือนอยู่ในที่ดินนี้ทางทิศเหนือ ในเนื้อที่ ราว ๒ ไร่เศษ (ตอนปลายสุดของที่ ดังปรากฎตามแผนที่วิวาท) โจทก์ให้จำเลยรื้อถอนออกไปจำเลยบิดพริ้วและท้าให้ฟ้อง เมื่อโจทก์จะซื้อจากนายเส็ง นายเส็งได้บอกว่าจำเลยอาศัยอยู่ในที่นี้ โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ ข้อกล่าวอ้างในเรื่องโจทก์ซื้อที่พิพาทโดยไม่สุจริตจึงรับฟังไม่ได้
ที่ดินรายนี้เป็นที่ดินมีโฉนดเป็นหลักฐานแม้หากจำเลยจะได้ใช้สิทธิครอบครองที่พิพาทซึ่งอยู่ภายในโฉนดมาโดยปรปักษ์ต่อเจ้าของที่เดิมเป็นเวลากว่า ๑๐ ปี แล้วก็ตามจำเลยมิได้จดทะเบียนสิทธิตาม ป.พ.พ.ม. ๑๒๙๙ วรรค ๒ จะยกสิทธิครอบครองอันยังไม่ได้จดทะเบียนนั้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ในคดีนี้ไม่ได้ จำเลยต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารให้รื้อถอนบ้านเรือนออกไปจากที่พิพาท ห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้องขัดขวางการครอบครองที่ดินของโจทก์ชอบด้วยรูปคดีแล้ว
จึงพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและให้จำเลยเสียค่าฤชาธรรมเนียมกับค่าทนาย ๑๕๐ บาท ชั้นอุทธรณ์และฎีกาแทนโจทก์