แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คดีหมายเลขดำที่ 283/2535 โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ฟ้องจำเลยกับ จ. ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 659 ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของ ต. และนำมาแบ่งปันกันและตามคดีหมายเลขดำที่ 284/2535 โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5ฟ้องจำเลยกับ พ. ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 6278 ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนาย ต.และนำมาแบ่งปันกัน แต่คดีนี้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5ฟ้องจำเลยคนเดียว ให้ดำเนินการแบ่งปันที่ดินโฉนดเลขที่ 3977กับพันธบัตรรัฐบาลจำนวน 200,000 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของ ต.แม้ว่าที่ดินทั้งหมดจะเป็นทรัพย์มรดกของต.แต่เห็นได้ว่าตามคดีหมายเลขดำที่ 283/2535 และ 284/2535นั้น จะต้องพิจารณาประเด็นที่ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินเสียก่อนว่าจะเพิกถอนหรือไม่ เมื่อเพิกถอนแล้วจึงจะนำมาแบ่งปันกันระหว่างทายาท ส่วนคดีนี้มีแต่เพียงประเด็นแบ่งปันทรัพย์มรดกระหว่างทายาทด้วยกันเท่านั้นหาได้เป็นเรื่องเดียวกันไม่ ฟ้องของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 และนายเติม ชูวงศ์ ซึ่งถึงแก่ความตายแล้ว เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายตาม ชูวงศ์ กับจำเลยโจทก์ที่ 2 เป็นบุตรและทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกแทนที่นายเติม ก่อนตายนายตาม มิได้ทำพินัยกรรมไว้ ต่อมาจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายตามตามคำสั่งของศาลชั้นต้น นายตามมีทรัพย์มรดกได้แก่ ที่ดินโฉนดเลขที่ 3977 จังหวัดภูเก็ต เนื้อที่62 ตารางวา ซึ่งนายตามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลยและพันธบัตรรัฐบาลเป็นเงิน 200,000 บาท โจทก์ทั้งห้ามีสิทธิรับมรดกที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนของนายตาม คนละ 3.1 ตารางวา รวมทั้งหมดเป็น 15.5 ตารางวา และมีสิทธิรับเงินจากพันธบัตรดังกล่าวคนละ20,000 บาท สำหรับที่ดินทรัพย์มรดก 15.5 ตารางวา เป็นเงิน70,000 บาท รวมกับค่าพันธบัตร 100,000 บาท เป็นเงิน 170,000 บาทโจทก์ทั้งห้าได้บอกกล่าวให้จำเลยแบ่งปันทรัพย์มรดกดังกล่าวแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 3977ตำบลตลาดใหญ่ (สั้นใน) อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ให้แก่โจทก์ทั้งห้าคนละ 3.1 ตารางวา รวมเนื้อที่ 15.5 ตารางวาหากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทนและหากแบ่งไม่ได้ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดนำเงินที่ได้จากการขายที่ดินมาแบ่งให้โจทก์ทั้งห้าตามส่วน และให้จำเลยแบ่งเงินจากพันธบัตรดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งห้า คนละ 20,000 บาท
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ทั้งห้าฟ้องจำเลยซึ่งเป็นบุพการีไม่ได้ จำเลยเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายตามพันธบัตรจำนวน 200,000 บาท เป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับนายตามพันธบัตรดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์มรดกของนายตามเพียง 100,000 บาทจำเลยได้ครอบครองที่ดินและพันธบัตรดังกล่าวแต่เพียงผู้เดียวมาเกินกว่า 1 ปี นับแต่นายตามถึงแก่ความตาย โจทก์ทั้งห้ามิได้ฟ้องเรียกทรัพย์มรดกภายใน 1 ปี นับแต่นายตามตาย นอกจากนี้โจทก์ทั้งห้าได้ฟ้องจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของนายตามขอแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 659 และ 6278 จังหวัดภูเก็ต อ้างว่าเป็นทรัพย์มรดกของนายตามเป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 283/2535และ 284/2535 ของศาลชั้นต้น ฟ้องโจทก์ทั้งห้าจึงเป็นฟ้องซ้อนกับคดีทั้งสองสำนวนดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ที่ 1 ขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 3977ตำบลตลาดใหญ่ (สั้นใน) อำเภอเมืองภูเก็ต ให้แก่โจทก์ที่ 3ถึงที่ 5 คนละ 3.1 ตารางวา และเงินคนละ 10,000 บาท ให้โจทก์ที่ 2 จำนวน 1 ใน 4 ของที่ดินดังกล่าว เนื้อที่ 3.1 ตารางวาส่วนที่ตกได้แก่นายเติม ชูวงศ์ และเงิน 2,500 บาท หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน หากแบ่งไม่ได้ให้ขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวนำเงินมาแบ่งปันกัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ในคดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ที่ 1 นายเติม ชูวงศ์และโจทก์ที่ 3 ถึงที่ 5 เป็นบุตรของจำเลยกับนายตาม ชูวงศ์เจ้ามรดก โจทก์ที่ 2 เป็นบุตรของนายเติม นายเติม ถึงแก่ความตายภายหลังนายตาม โจทก์ที่ 2 จึงมีสิทธิรับมรดกแทนที่นายเติมโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ได้ฟ้องจำเลยและนางจรื่น โปร่งพันธ์เป็นคดีหนึ่งและฟ้องจำเลยกับนางพูลศรี มิตรารัตน์ เป็นอีกคดีหนึ่งเรื่องขอเพิกถอนการจดทะเบียนโอนมรดกและขอให้แบ่งปันทรัพย์มรดกที่ดินโฉนดเลขที่ 659 และ 6278 ตำบลตลาดใหญ่ (สั้นใน)อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ตามคดีหมายเลขดำที่ 283/2535 และ 284/2535 ของศาลชั้นต้น ตามลำดับ โดยคดีทั้งสองเรื่องดังกล่าวกับคดีนี้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ยื่นฟ้องต่อศาลชั้นต้นวันเวลาเดียวกันเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2535 ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่าฟ้องโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ 283/2535 และ 284/2535 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่าตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1)จะเป็นฟ้องซ้อนต้องเป็นกรณีฟ้องเรื่องเดียวกัน แต่ข้อเท็จจริงตามคดีหมายเลขดำที่ 283/2535 โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ฟ้องจำเลยกับนางจรื่นขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 659ตำบลตลาดใหญ่ (สั้นใน) อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนายตามและนำมาแบ่งปันกัน และตามคดีหมายเลขดำที่ 284/2535 โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5 ฟ้องจำเลยกับนางพูลศรี ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 6278 ตำบลตลาดใหญ่(สั้นใน) อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนายตามและนำมาแบ่งปันกันแต่คดีนี้โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 5ฟ้องจำเลยคนเดียวเท่านั้น ให้ดำเนินการแบ่งปันที่ดินโฉนดเลขที่ 3977 ตำบลตลาดใหญ่ (สั้นใน) อำเภอเมืองภูเก็ตจังหวัดภูเก็ต กับพันธบัตรรัฐบาลจำนวน 200,000 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนายตาม แม้ว่าที่ดินทั้งหมดจะเป็นทรัพย์มรดกของนายตาม แต่ก็เป็นที่เห็นได้ว่าตามคดีหมายเลขดำที่ 283/2535 และ 284/2534 นั้น จะต้องพิจารณาประเด็นที่ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินเสียก่อนว่าจะเพิกถอนหรือไม่ เมื่อเพิกถอนแล้วจึงจะนำมาแบ่งปันกันระหว่างทายาท ส่วนคดีนี้มีแต่เพียงประเด็นแบ่งปันทรัพย์มรดกระหว่างทายาทด้วยกันเท่านั้น จึงหาได้เป็นเรื่องเดียวกันไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ไม่เป็นฟ้องซ้อนชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน