คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1745/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยได้นำรังวัดที่ดินของจำเลยเพื่อออก น.ส.3 แต่ได้นำรังวัดเอาที่พิพาทรวมเข้าไปด้วย ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกที่พิพาทออกจาก น.ส.3 และห้ามเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินของบิดาจำเลยได้บุกเบิกแผ้วถางทำประโยชน์มานาน 40 ปีแล้ว ต่อมาบิดาจำเลยตายที่ดินนี้จึงตกได้แก่จำเลย ชั้นพิจารณามีการทำแผนที่พิพาทปรากฏว่าที่ดินตาม น.ส.3 ของจำเลยนอกจากจะพิพาทกับโจทก์ ยังพิพาทกับ จ. โดยที่พิพาทคดีนี้กับคดีนั้นอยู่ติดกัน โจทก์จำเลยจึงแถลงร่วมกันว่าไม่ติดใจสืบพยาน โดยตกลงท้ากันว่าเมื่อคดีนั้นถึงที่สุด หากจ. ชนะคดีก็ให้ถือว่าคดีนี้โจทก์เป็นฝ่ายชนะ ถ้าคดีนั้นจำเลยชนะก็ให้ถือว่าคดีนี้จำเลยเป็นฝ่ายชนะ ต่อมาคดีที่จำเลยพิพาทกับ จ. นั้น ศาลฎีกาพิพากษาให้ จ.ชนะคดี ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาในคดีนี้ให้จำเลยแบ่งแยกที่พิพาทออกจาก น.ส.3 ของจำเลยและห้ามจำเลยเกี่ยวข้องดังนี้เมื่อปรากฏว่าที่พิพาททั้งสองคดีนี้อยู่ติดกันและต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงใหญ่ตาม น.ส.3 ของจำเลย จำเลยได้ขอออก น.ส.3 ครอบที่พิพาททั้งสองแปลงเข้าไปด้วย และทั้งสองคดีจำเลยให้การต่อสู้ทำนองเดียวกัน คดีทั้งสองจึงเกี่ยวข้องกัน มิใช่เป็นเรื่องเอาเหตุการณ์ภายนอกมาเป็นข้อท้าแต่อย่างใด การที่ให้ถือเอาผลแห่งคำพิพากษาคดีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งมีความเกี่ยวข้องกันอยู่มาเป็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้ มีผลให้บังคับคดีนี้ได้ ย่อมถือว่าเป็นคำท้าที่ชอบด้วยกฎหมาย หามีลักษณะเป็นการพนันขันต่อแต่อย่างใดไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์ได้แจ้งการครอบครองไว้ จำเลยนำรังวัดที่ดินของจำเลยเพื่อออก น.ส.3 แต่ได้นำรังวัดเอาที่พิพาทรวมเข้าไปด้วย ขอให้พิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกที่พิพาทออกจาก น.ส.3 และห้ามเข้าเกี่ยวข้อง

จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินบิดาจำเลยได้บุกเบิกแผ้วถางทำประโยชน์มานานประมาณ 40 ปีแล้ว ไม่มีบุคคลใดเข้าเกี่ยวข้อง ต่อมาบิดาจำเลยตายที่ดินนี้จึงตกได้แก่จำเลยและจำเลยครอบครองมาเกิน 1 ปี คดีโจทก์ขาดอายุความ

ในชั้นพิจารณามีการทำแผนที่พิพาท ปรากฏว่าที่ดินตาม น.ส.3ของจำเลยนี้นอกจากจะพิพาทกับโจทก์คดีนี้แล้ว ยังพิพาทกับนางจั๊งอีกด้วยตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 243/2512 โดยที่พิพาทคดีนี้กับคดีนั้นอยู่ติดกันโดยที่พิพาทคดีนี้อยู่ทางทิศเหนือ ที่พิพาทคดีนั้นอยู่ทางทิศใต้ คู่ความคดีนี้จึงแถลงร่วมกันว่าไม่ติดใจสืบพยานโดยจะขอฟังผลของคดีดังกล่าว เมื่อคดีนั้นถึงที่สุด หากโจทก์คดีนั้นชนะก็ให้ถือว่าคดีนี้โจทก์เป็นฝ่ายชนะ ถ้าคดีนั้นจำเลยชนะก็ให้ถือว่าคดีนี้จำเลยเป็นฝ่ายชนะ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เป็นไปตามคำท้านั้น สำหรับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 243/2512 นั้น ศาลฎีกาพิพากษายืนให้โจทก์ชนะคดี โจทก์คดีนี้ยื่นคำร้องขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไปโดยจำเลยเห็นว่าคำท้านั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะถือเอาเหตุการณ์ภายนอกสำนวนมาเป็นข้อแพ้ชนะมีลักษณะเป็นการพนันขันต่อ จึงขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาตตามคำร้องของจำเลย

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า คำท้านี้ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษาให้จำเลยแบ่งแยกที่พิพาทออกจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาว่า คำท้าดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะเป็นการถือเอาเหตุการณ์หรือพฤติการณ์นอกสำนวนเป็นข้อแพ้ชนะมีลักษณะเป็นการพนันขันต่อ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ได้ตรวจดูคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 243/2512 และแผนที่พิพาทในคดีนี้แล้วปรากฏว่าที่พิพาททั้งสองคดีนี้อยู่ติดกัน และต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินแปลงใหญ่ตาม น.ส.3 ของจำเลย จำเลยได้ขอออก น.ส.3 ครอบที่พิพาททั้งสองแปลงนี้เข้าไปด้วย ทั้งสองคดีนี้ จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทบิดาจำเลยครอบครองมาประมาณ 40 ปี บิดาจำเลยถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. 2510 จึงตกได้แก่จำเลย ข้อต่อสู้ของจำเลยในสองคดีนี้เป็นไปในทำนองเดียวกัน คดีทั้งสองจึงเกี่ยวข้องกัน มิใช่เป็นเรื่องเอาเหตุการณ์ภายนอกมาเป็นข้อท้าแต่อย่างใด การที่ให้ถือเอาผลแห่งคำพิพากษาคดีอีกเรื่องหนึ่งซึ่งมีความเกี่ยวข้องกันอยู่มาเป็นข้อแพ้ชนะในคดีนี้มีผลให้บังคับคดีนี้ได้ ย่อมถือว่าเป็นคำท้าที่ชอบด้วยกฎหมาย หามีลักษณะเป็นการพนันขันต่อแต่อย่างใดไม่

พิพากษายืน

Share