แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ ขอให้ลงโทษทางอาญาและเรียกทรัพย์คืนมีราคาเกิน 2,000 บาท ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยผิดสัญญาทางแพ่งไม่ผิดฐานยักยอก จึงพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ดังนี้คดีส่วนอาญาย่อมถือว่ายุติ คู่ความคงฎีกาได้เฉพาะคดีส่วนทางแพ่งเท่านั้น และในการพิจารณาคดีส่วนแพ่งในชั้นฎีกานี้ ศาลฎีกาย่อมต้องฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลล่างที่ได้ฟังไว้ในคดีส่วนอาญา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าได้มอบกระบือให้จำเลยไปขายจำเลยขายแล้วกลับมาบอกว่าบริษัท จ่ายเงินให้เพียง ๕๖๗๐ บาทก่อน ที่เหลือจะจ่ายให้ภายหลัง ความจริงจำเลยรับเงินมาหมดแล้ว ยักยอกเสียขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา ๓๑๔ และเรียกเงิน ๗๖๗๐ บาท
ศาลชั้นต้นเห็นว่าเป็นเรื่องจำเลยผิดสัญญาทางแพ่ง ไม่มีเจตนาทุจริต จึงไม่ผิดในทางอาญา จึงพิพากษาให้จำเลยใช้เงินที่ค้างแก่โจทก์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีอาญาและแพ่งปนกันศาลชั้นต้นพิพากษาโดยชี้ข้อเท็จจริงมารวมกัน บังคับให้จำเลยใช้เงินโจทก์ในทางแพ่ง ส่วนในทางอาญาให้ยกฟ้องเพราะจำเลยไม่มีเจตนาทุจริต ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนการฟังข้อเท็จจริงเป็นการฟังสำหรับคดีอาญาด้วยคดีส่วนอาญาเป็นยุติ คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาแต่ฉะเพาะทางแพ่งศาลฎีกาจึงต้องฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลล่างที่ได้ฟังไว้ในคดีส่วนอาญา และเมื่อฟังว่าจำเลยได้รับกระบือของโจทก์ไปขายแล้วไม่นำเงินที่ขายได้มาชำระแก่โจทก์จำเลยก็ต้องชำระหนี้
ศาลฎีกาจึงพิพากษายืน