คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1731-1732/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยได้รับมอบหมายจากโจทก์ร่วมเพื่อไปซื้อที่ดินให้โจทก์ร่วมแล้วจำเลยได้นำเอาบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมเป็นสำเนาตามแบบพิมพ์ ท.ด.70 ซึ่งจำเลยรู้ว่าเป็นเอกสารที่ผู้อื่นทำปลอมขึ้นไปแสดงต่อโจทก์ร่วมเพื่อให้เชื่อว่ามีต้นฉบับเช่นนั้น และเพื่อลวงให้โจทก์ร่วมเชื่อว่าโจทก์ร่วมมีกรรมสิทธิ์รวมอยู่กับเจ้าของที่ดินตามบันทึกข้อตกลงนั้น เช่นนี้การกระทำของจำเลยเป็นการใช้เอกสารปลอม
สำเนาบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมซึ่งพิมพ์ลงในแบบพิมพ์ ท.ด.70 มีข้อความแสดงว่า โจทก์ร่วมมีกรรมสิทธิ์รวมอยู่เป็นจำนวนเท่าใด โดยไม่มีอะไรแสดงให้เห็นว่า เอกสารฉบับนี้เป็นเอกสารที่เจ้าพนักงานได้ทำขึ้นหรือรับรองในหน้าที่ ดังนี้ ย่อมไม่เป็นเอกสารราชการ แต่เป็นเอกสารสิทธิ์ตามนัยมาตรา 1 (9) แห่งประมวลกฎหมายอาญา

ย่อยาว

คดี ๒ สำนวนนี้ ศาลพิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า จำเลยในสำนวนที่ ๒ เป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งเสมียนประจำสำนักงานที่ดินจังหวัดพระนคร มีหน้าที่แก้ทะเบียนในโฉนดฉบับหลวงและฉบับเจ้าของที่ดิน กับพิมพ์สัญญาต่าง ๆ จำเลยทั้ง ๒ สำนวนกระทำผิดกฎหมายหลายบทหลายกระทง
(ก) เมื่อระหว่างวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๘ ถึงวันที่ ๑๕ มิถุนายน๒๕๐๙ เวลากลางวัน นางธนิต กำเนิดเพชร จำเลยในสำนวนแรกได้รับมอบหมายเงินจากนายกอบชัยเป็นเช็ค ๑๓ ฉบับ สั่งจ่ายเงินรวม ๑,๖๙๘,๔๑๒บาท เพื่อจัดการซื้อที่ดินให้นายกอบชัย ซอโสตถิกุล และระหว่างวันเวลาดังกล่าว นางธนิตจำเลยได้กระทำผิดหน้าที่โดยทุจริตเบียดบังยักยอกเอาเงินทั้งหมดที่จำเลยรับมอบหมายนั้นเป็นของตน จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่นายกอบชัย
(ข) เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๐๙ เวลากลางวัน นางธนิตจำเลยและนายพิสุทธิ์จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่นายกอบชัย ได้กระทำปลอมบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมที่ดิน ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการขึ้นทั้งฉบับรวม ๒ ฉบับ กับปลอมโฉนดที่ดินฉบับหลวงซึ่งเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ โดยเพิ่มเติมข้อความในสารบรรณจดทะเบียนรวม ๒ ฉบับ แสดงว่านายกอบชัยมีกรรมสิทธิ์รวมเป็นจำนวนส่วนร่วมกับเจ้าของที่ดินที่ปรากฏชื่อในโฉนด ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นายกอบชัย กรมที่ดิน และผู้อื่น โดยจำเลยได้กระทำเพื่อให้นายกอบชัยและผู้ที่พบเห็นหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง แล้วนางธนิตจำเลยได้นำบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิรวมทั้งสองฉบับที่ปลอมขึ้นนั้นไปแสดงแก่นายกอบชัยเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๐๙ เวลากลางวัน และนายพิสุทธิ์จำเลยได้ใช้โฉนดฉบับหลวงที่ปลอมขึ้นทั้ง ๒ ฉบับแสดงแก่นายสุทินไม้ประเสริฐในวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๐๙ เวลากลางวัน ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นายสุทินและกรมที่ดิน
(ค) เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๐๙ เวลากลางวันนางธนิต จำเลยได้ร่วมกับนายพิสุทธิ์จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานได้ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่นายกอบชัย ได้กระทำปลอมบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมที่ดิน ซึ่งเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการขึ้นทั้งฉบับรวม ๒ ฉบับ กับปลอมโฉนดที่ดินฉบับหลวงซึ่งเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ โดยเพิ่มเติมข้อความรายการลงในสารบรรณจดทะเบียน แสดงว่านายกอบชัยมีกรรมสิทธิ์รวมเป็นจำนวนส่วนร่วมกับเจ้าของที่ดินที่ปรากฏชื่อในโฉนดโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นายกอบชัย กรมที่ดิน และผู้อื่นโดยจำเลยกระทำเพื่อให้นายกอบชัยหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง แล้วนางธนิตจำเลยได้นำบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมทั้งสองฉบับที่ปลอมขึ้นไปใช้แสดงแก่นายกอบชัยในวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๐๙ เวลากลางวัน และนายพิสุทธิ์จำเลยได้ใช้โฉนดฉบับหลวงที่จำเลยปลอมขึ้นทั้ง ๒ ฉบับ แสดงแก่นายสุทินไม้ประเสริฐในวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๐๙ เวลากลางวัน ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่นายสุทิน นายกอบชัย และกรมที่ดิน เหตุในข้อ (ก) (ข) (ค) เกิดที่ตำบลคลองตัน อำเภอพระโขนง ตำบลสามเสนใน อำเภอดุสิต และอำเภอพญาไท ตำบลปทุมวัน อำเภอปทุมวัน และตำบลพระบรมมหาราชวัง อำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร เกี่ยวพันกันขอให้ลงโทษจำเลยทั้ง ๒ สำนวนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗, ๒๖๔, ๒๖๕, ๒๖๖, ๒๖๘, ๓๕๒, ๓๕๓, ๘๓ และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๑,๖๙๘,๔๑๒ บาทแก่ผู้เสียหาย
นายกอบชัย ซอโสตถิกุล ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม
จำเลยทั้ง ๒ สำนวนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า นางธนิตจำเลยสำนวนแรกมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ประกอบด้วยมาตรา ๘๖, ๒๖๘, ๓๕๓ ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๖๘ จำคุก ๖ ปี นายพิสุทธิ์จำเลยที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ จำคุก ๔ ปีข้อหาอื่นให้ยก ให้นางธนิตจำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๑,๖๙๘,๔๑๒ บาทแก่โจทก์ร่วม
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า กรณีฟังไม่ได้แน่ว่ามีการกระทำผิดจริงดังศาลชั้นต้นฟังมากรณีมีความสงสัยตามสมควร ยกประโยชน์ให้จำเลยพิพากษาแก้เป็นยกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาเห็นว่า ประเด็นที่จะต้องพิจารณาในชั้นฎีกาคงมีแต่เพียงว่านายพิสุทธิ์จำเลยจะมีความผิดตามมาตรา ๑๕๗ หรือไม่ นางธนิตจำเลยมีความผิดตามมาตรา ๑๕๗ ประกอบด้วยมาตรา ๘๖ และ ๒๖๘, ๓๕๓ แห่งประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่ ข้อหาความผิดอื่นยุติ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงฟังว่า นางธนิตจำเลยได้รับมอบหมายเงินจำนวน ๑,๖๙๘,๔๑๒ บาทจากโจทก์ร่วม เพื่อไปจัดซื้อที่ดินในบริเวณซอยอ่อนนุชให้แก่โจทก์ร่วมแล้วเบียดบังเอาเงินจำนวนดังกล่าวที่รับไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว โดยไม่ได้จัดซื้อที่ดินให้ตามที่ได้รับมอบหมาย และในการนี้นางธนิตจำเลยได้นำสำเนาบันทึกข้อตกลงกรรมสิทธิ์รวม ๔ ฉบับที่นางธนิตรู้ดีว่าเป็นเอกสารปลอมที่มีผู้อื่นทำขึ้น ไปแสดงแก่นายกอบชัยโจทก์ร่วมเพื่อให้หลงเชื่อว่ามีต้นฉบับเช่นนั้น การกระทำของนางธนิตจำเลยเป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม แต่ศาลฎีกาเห็นว่า เอกสารหมาย จ.๑, จ.๒, จ.๓ และ จ.๔ ซึ่งเป็นเอกสารปลอมนั้นมิได้เป็นเอกสารราชการ เพราะมิได้มีอะไรแสดงให้เห็นว่าเป็นเอกสารที่เจ้าพนักงานได้ทำขึ้นหรือรับรองในหน้าที่ แต่เป็นสำเนาบันทึกข้อตกลงเรื่องกรรมสิทธิ์รวมซึ่งไม่มีเจ้าพนักงานรับรองสำเนาถูกต้อง กรณีจึงไม่เป็นเอกสารราชการแต่เอกสาร จ.๑, จ.๒, จ.๓ และ จ.๔ เป็นบันทึกข้อตกลงกรรมสิทธิ์รวมซึ่งพิมพ์ลงในแบบพิมพ์ ท.ด.๗๐ แสดงว่าโจทก์ร่วมมีกรรมสิทธิรวมอยู่เป็นจำนวนเท่าใด จึงเป็นเอกสารสิทธิตามนัยมาตรา ๑(๙) แห่งประมวลกฎหมายอาญา นางธนิตจำเลยนำไปใช้โดยทราบดีว่าเป็นเอกสารปลอม นางธนิตจำเลยจึงมีความผิดตามมาตรา ๒๖๘ ต้องระวางโทษตามมาตรา ๒๖๕ และยังมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา ๓๕๓ อีกกระทงหนึ่งด้วย
สำหรับนายพิสุทธิ์จำเลยกรณียังเป็นที่สงสัย ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้นายพิสุทธิ์จำเลย เมื่อนายพิสุทธิ์ไม่มีความผิดตามมาตรา ๑๕๗ นางธนิตจำเลยจึงไม่อาจมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนตามมาตรา ๘๖ ในข้อหาความผิดฐานนี้
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า นางธนิตจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๘, ๒๖๕ ให้จำคุกไว้มีกำหนดสามปีกระทงหนึ่ง และมีความผิดตามมาตรา ๓๕๓ ให้จำคุกไว้มีกำหนดสามปีอีกกระทงหนึ่งรวมทั้งสิ้นมีกำหนดหกปี ให้นางธนิตจำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๑,๖๙๘,๔๑๒ บาทแก่นายกอบชัย ซอโสตถิกุล โจทก์ร่วม นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share