คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1729/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ บ.ซึ่งเป็นภริยาของโจทก์นำที่พิพาทซึ่งเป็นสินบริคณห์ไปขายฝากไว้กับจำเลยโดยมิได้รับอนุญาตจากโจทก์ เบื้องต้นต้องถือว่านิติกรรมการขายฝากเป็นโมฆียะ การดำเนินกิจการโรงเรียนราษฎร์ของ บ.ในฐานะเจ้าของและผู้จัดการเป็นการประกอบการค้าแสวงหากำไร การซื้อที่พิพาทจาก น.เจ้าของเดิมก็ลงชื่อ บ.แต่ผู้เดียวโดยโจทก์รู้เห็นยินยอม เมื่อซื้อมาแล้วยังได้ใช้ประโยชน์ปลูกสร้างขยายอาคารโรงเรียนลงในที่พิพาทบางส่วน บ.จำต้องหาเงินทุนมาใช้จ่ายในกิจการของโรงเรียน หนี้จำนองราย อ. บ.ก็เอาที่พิพาทไปจำนองไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ ทั้งนี้เพื่อให้ได้เงินมาใช้จ่ายในกิจการของโรงเรียนตามพฤติการณ์จึงแสดงว่ามูลเหตุที่ บ.ต้องไปทำนิติกรรมขายฝากไว้กับจำเลย นอกจากเพื่อให้ได้เงินมาไถ่ถอนจำนองจากธนาคารเป็นสำคัญแล้ว ยังประสงค์ได้เงินส่วนที่เหลือมาสมทบใช้จ่ายในกิจการโรงเรียนด้วย แม้จะถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้อนุญาตให้ บ.ไปทำนิติกรรมขายฝากที่พิพาทโดยตรง กรณีก็เป็นเรื่องที่โจทก์ได้อนุญาตแล้วโดยปริยาย เพราะโจทก์ได้รู้เห็นและมิได้ทักท้วงการทำนิติกรรมจำนองที่พิพาทของ บ.มาก่อน อย่างไรก็ตาม นิติกรรมขายฝากที่พิพาทคงมีผลผูกพันเฉพาะสินบริคณห์ส่วนของ บ.ซึ่งมีอยู่เพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้น ในส่วนอีกกึ่งหนึ่งของโจทก์หาจำต้องผูกพันด้วยไม่ นิติกรรมขายฝากที่พิพาทสำหรับสินบริคณห์ส่วนของโจทก์คงตกเป็นโมฆียะเช่นเดิม ซึ่งเป็นสิทธิเฉพาะตัวของโจทก์ในอันที่จะบอกล้างโมฆียะกรรมหรือให้สัตยาบันตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 137 และ 139 แต่อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
ขณะทำนิติกรรมขายฝากที่พิพาทระหว่าง บ.ภริยาโจทก์กับจำเลย จำเลยทราบดีว่า บ.เป็นหญิงมีสามี ทั้งเจ้าพนักงานที่ดินได้เตือนให้จำเลยทราบถึงความสามารถบกพร่องของ บ.ก่อนแล้ว จำเลยยังเสี่ยงยืนยันให้เจ้าพนักงานที่ดินทำสัญญาขายฝากให้โดยขอยอมรับผิดต่อความเสียหายเอง ข้อที่ว่าโจทก์จะได้ทราบถึงนิติกรรมอันเป็นโมฆียะในระหว่างอายุสัญญาขายฝากหรือไม่ ไม่ใช่เหตุตัดรอนสิทธิของโจทก์ที่จะบอกล้าง เพราะสิทธิบอกล้างจะสิ้นไปก็แต่โดยโจทก์เพิกเฉยไม่บอกล้างเสียภายในกำหนดเวลาหนึ่งปีนับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้ หรืออีกนัยหนึ่งนับแต่วันทราบเรื่องการทำนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 143 การบอกล้างของโจทก์ยังไม่เกินกำหนดหนึ่งปี โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกล้างได้ ฉะนั้นนิติกรรมขายฝากที่พิพาทเฉพาะสินบริคณห์ส่วนของโจทก์เมื่อบอกล้างแล้วย่อมตกเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก ซึ่งมีผลบังคับนับแต่วันบอกล้างเป็นต้นไป จำเลยจะถือเอาประโยชน์จากนิติกรรมในส่วนที่ไม่สมบูรณ์นั้นไม่ได้ จะต้องคืนกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนของโจทก์ให้โจทก์ไป หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริตไม่ เพราะโจทก์มีความชอบธรรมที่จะปกป้องหรือขอคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินส่วนของตนในทางศาลได้อยู่ ส่วนเงินราคาที่ดินอันจะพึงชดใช้แก่กันเป็นจำนวนเท่าใดนั้น จำเลยมิได้ฟ้องแย้ง จึงไม่จำต้องวินิจฉัยถึง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับนางบัญญัติ ไหลงาม เป็นสามีภริยากัน มีสินบริคณห์ร่วมกันหลายอย่าง รวมทั้งที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๑๓๗ โดยโจทก์กับนางบัญญัติซื้อที่ดินดังกล่าวมาจากผู้อื่นภายหลังการสมรสแล้ว ได้ให้นางบัญญัติใส่ชื่อในโฉนด จำเลยกับนางบัญญัติสมคบกันทำนิติกรรมขายฝากขึ้นโดยโจทก์ไม่ทราบ โจทก์ได้บอกล้างนิติกรรมขายฝากระหว่างจำเลยกับนางบัญญัติ ขอให้จำเลยโอนคืนที่ดินกลับสู่ฐานะเดิมให้โจทก์ จำเลยไม่ยอมโอนคืนที่ดินให้โจทก์ ขอให้พิพากษาว่านิติกรรมขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๑๓๗ เป็นโมฆะ ให้จำเลยโอนที่ดินกลับคืนสู่ฐานะเดิมของโจทก์โดยให้จำเลยโอนแก้ทะเบียนหลังโฉนดเช่นเดิมก่อนวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๑๓ ถ้าจำเลยไม่สามารถโอนคืนด้วยประการใด ๆ ก็ขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยได้รับซื้อฝากไว้โดยสุจริตและมีค่าตอบแทน โจทก์รู้หรือควรจะรู้ถึงการจดทะเบียนการขายฝากของนางบัญญัติ แต่ไม่ได้บอกล้างแสดงถึงการสมยอมของโจทก์ นางบัญญัติประกอบอาชีพเป็นครูโรงเรียนราษฎร์เป็นเจ้าของและผู้จัดการด้วย โจทก์กับนางบัญญัติแสดงตนให้เป็นที่รู้กันทั่วไปว่าหย่าร้างกันแล้ว แม้จะยังเป็นสามีภรรยากันอยู่ก็ตาม โจทก์ก็ได้เชิดนางบัญญัติให้ทำนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินโดยอิสระ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า นิติกรรมขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๑๓๗ ฉบับลงวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๑๓ ระหว่างนางบัญญัติกับจำเลยเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก ให้ผู้เป็นคู่กรณีกลับคืนยังฐานะเดิม จึงให้จำเลยโอนแก้ทะเบียนหลังโฉนดที่ดินให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมก่อนวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๑๓ ถ้าจำเลยไม่จัดการโอนคืนให้ ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ได้จดทะเบียนสมรสกับนางบัญญัติเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ ต่อมาวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๐๙ นางบัญญัติได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทโฉนดเลขที่ ๘๑๓๗ ไว้จากเจ้าของเดิม ในโฉนดคงลงชื่อนางบัญญัติแต่ผู้เดียว โจทก์และนางบัญญัติภริยาได้ร่วมกันตั้งโรงเรียนราษฎร์ นางบัญญัติเป็นทั้งเจ้าของและผู้จัดการโรงเรียนเอง ครั้นเมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๑๓ นางบัญญัติก็ได้ทำสัญญาขายฝากที่ดินไว้กับจำเลย
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ดินโฉนดรายพิพาทได้มาระหว่างโจทก์และนางบัญญัติเป็นคู่สมรสกันอยู่ จึงเป็นสินบริคณห์ การที่นางบัญญัติไปทำนิติกรรมขายฝากที่พิพาทไว้กับจำเลยนั้นได้ชื่อว่ากระทำไปโดยพลการ เพราะมิได้รับอนุญาตจากโจทก์ ในเบื้องต้นต้องถือว่านิติกรรมการขายฝากที่พิพาทตกเป็นโมฆียะ เพราะเป็นการฝ่าฝืนต่อความในมาตรา ๓๘ การดำเนินกิจการโรงเรียนราษฎร์ของนางบัญญัติในฐานะเจ้าของและผู้จัดการเป็นการประกอบการค้าแสวงหากำไร การซื้อที่พิพาทจากนายนิพนธ์เจ้าของเดิมก็ลงชื่อนางบัญญัติแต่ผู้เดียว โดยโจทก์รู้เห็นยินยอม เมื่อซื้อที่พิพาทมาแล้วยังได้ใช้ประโยชน์ปลูกสร้างขยายอาคารโรงเรียนลงไปในที่พิพาทบางส่วน นางบัญญัติจำต้องหาเงินทุนมาใช้จ่ายในกิจการของโรงเรียน หนี้จำนองรายนายอนันต์ นางบัญญัติก็เอาที่พิพาทไปจำนองไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ ทั้งนี้เพื่อให้ได้เงินมาใช้จ่ายในกิจการของโรงเรียน ตามพฤติการณ์จึงแสดงว่า มูลเหตุที่นางบัญญัติต้องไปทำนิติกรรมขายฝากที่พิพาทไว้กับจำเลย นอกจากเพื่อให้ได้เงินมาไถ่ถอนจำนองจากธนาคารเป็นสำคัญแล้ว ยังประสงค์ได้เงินส่วนที่เหลือมาสมทบใช้จ่ายในกิจการของโรงเรียนด้วย แม้จะถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้อนุญาตให้นางบัญญัติไปทำนิติกรรมขายฝากที่พิพาทโดยตรง กรณีก็เป็นเรื่องที่โจทก์ได้อนุญาตแล้วโดยปริยาย เพราะโจทก์ได้รู้เห็นและมิได้ทักท้วงการทำนิติกรรมจำนองที่พิพาทของนางบัญญัติมาก่อนแล้ว
อย่างไรก็ตาม นิติกรรมขายฝากที่พิพาทคงมีผลผูกพันเฉพาะสินบริคณห์ส่วนของนางบัญญัติซึ่งมีอยู่เพียงกึ่งหนึ่งเท่านั้น ในส่วนอีกกึ่งหนึ่งของโจทก์หาจำต้องผูกพันด้วยไม่ นิติกรรมขายฝากที่พิพาทสำหรับสินบริคณห์ส่วนของโจทก์คงตกเป็นโมฆียะอยู่เช่นเดิม ซึ่งเป็นสิทธิเฉพาะตัวของโจทก์ในอันที่จะบอกล้างโมฆียะกรรมหรือให้สัตยาบันตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗ และมาตรา ๑๓๙ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
อนึ่ง การทำนิติกรรมขายฝากระหว่างนางบัญญัติกับจำเลยปรากฏว่าขณะเข้าทำสัญญาต่อกันนั้น จำเลยทราบดีแล้วว่านางบัญญัติเป็นหญิงมีสามี ทั้งเจ้าพนักงานที่ดินได้เตือนให้จำเลยทราบถึงความสามารถบกพร่องของนางบัญญัติก่อนแล้ว จำเลยก็ยังเสี่ยงยืนยันให้เจ้าพนักงานที่ดินทำสัญญาขายฝากให้โดยขอยอมรับผิดชอบต่อความเสียหายเอง โดยเหตุที่โจทก์ทรงไว้ซึ่งสิทธิที่จะบอกล้างโมฆียกรรมได้สำหรับสินบริคณห์ของโจทก์ดังกล่าวมาแล้ว ข้อที่ว่าโจทก์จะได้ทราบถึงนิติกรรมอันเป็นโมฆียะในระหว่างอายุสัญญาขายฝากหรือไม่ ไม่ใช่เหตุตัดรอนสิทธิของโจทก์ว่าบอกล้างไม่ได้ เพราะสิทธิบอกล้างจะสิ้นไปก็แต่โดยโจทก์เพิกเฉยไม่บอกล้างเสียภายในกำหนดเวลาหนึ่งปีนับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้ หรืออีกนัยหนึ่งนับแต่วันทราบเรื่องการทำนิติกรรมดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๓ ต่างหาก การบอกล้างของโจทก์ยังไม่เกินกำหนดหนึ่งปี โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกล้างได้โดยชอบ ฉะนั้น นิติกรรมขายฝากที่พิพาทเฉพาะสินบริคณห์ส่วนของโจทก์เมื่อบอกล้างแล้วย่อมตกเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก ซึ่งมีผลบังคับนับแต่วันบอกล้างเป็นต้นไป จำเลยจะถือเอาประโยชน์จากนิติกรรมในส่วนที่ไม่สมบูรณ์นั้นไม่ได้ จำต้องคืนกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนของโจทก์ให้โจทก์ไป กรณีเช่นนี้หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีโดยไม่สุจริตไม่ เพราะเหตุว่าโจทก์มีความชอบธรรมที่จะปกป้องหรือขอคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินส่วนของตนในทางศาลได้อยู่ ส่วนเรื่องเงินราคาที่ดินอันจะถึงชดใช้แก่กันเป็นจำนวนเท่าใดนั้น จำเลยมิได้ฟ้องแย้ง จึงไม่จำต้องวินิจฉัยถึง
พิพากษากลับว่า นิติกรรมขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๑๓๗ ระหว่างนางบัญญัติ ไหลงาม กับจำเลยลงวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๑๓ ไม่มีผลผูกพันที่ดินส่วนที่เป็นสินบริคณห์ของโจทก์กึ่งหนึ่ง โดยให้จำเลยจัดการแก้ทะเบียนหลังโฉนดลงชื่อโจทก์หรือนางบัญญัติ ไหลงาม ภริยาโจทก์ถือกรรมสิทธิ์ในสินบริคณห์ส่วนดังกล่าวในโฉนดร่วมกับจำเลยด้วย ถ้าจำเลยไม่ไปจัดการด้วยประการใด ๆ ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยแทน

Share