คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1727/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นผู้ยื่นประเมินภาษีโรงเรือนต่อเทศบาลสำหรับโรงเรือนอันเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยและภริยาจำเลย โดยมิได้ระบุว่าจำเลยกระทำการแทนผู้ใด เมื่อจำเลยได้รับแจ้งการประเมินยังยอมรับว่าค้างชำระค่าภาษีอยู่จริง โดยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งถือว่าการประเมินภาษีนั้นถูกต้องแล้ว โรงเรือนนั้นเป็นสินสมรสจำเลยย่อมเป็นเจ้าของร่วมในโรงเรือนนั้นด้วย จำเลยอยู่ในฐานะผู้จัดการสินบริคณห์ และได้กระทำไปในฐานะเป็นผู้รับประเมินจึงเป็นผู้มีหน้าที่พึงชำระค่าภาษีค้างชำระนั้นให้เทศบาลจะผลักภาระการชำระค่าภาษีให้ตกแก่ภริยาจำเลยหาได้ไม่เพราะภริยาจำเลยไม่ใช่ผู้รับประเมินซึ่งมีหน้าที่ชำระค่าภาษีต่อเทศบาล
ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างอยู่กินเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมายนั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1466 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส หากจำเลยจะกล่าวอ้างเป็นอย่างอื่น เช่นว่า เป็นสินส่วนตัวของภริยาจำเลยจำเลยจำต้องยกขึ้นเป็นประเด็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การโดยชัดแจ้งมิฉะนั้นแล้วจำเลยก็ไม่มีประเด็นสืบ
พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 40 วางหลักว่า เจ้าของทรัพย์สินเป็นผู้เสียค่าภาษีเท่ากับต้องรับภาระภาษีโดยตรง เจ้าของจะผลักภาระภาษีให้ผู้เช่าหรือผู้ครองทรัพย์สินเสียไม่ได้ หาใช่ข้อตัดสิทธิมิให้เทศบาลเรียกร้องเอาค่าภาษีจากจำเลยผู้รับประเมินแต่อย่างใดไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย มีอำนาจเก็บภาษีโรงเรือนภายในเขตเทศบาลเมืองนครราชสีมาให้เป็นไปตามกฎหมายจำเลยเป็นเจ้าของโรงเรือนและที่ดินในเขตเทศบาลเมืองนครราชสีมาได้ยื่นประเมินภาษีจากรายได้โรงเรือนเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ถึง พ.ศ. ๒๕๑๐ โจทก์ได้แจ้งยอดภาษีโรงเรือนให้จำเลยทราบแล้ว จำเลยคงค้างชำระภาษีโรงเรือนปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ถึง พ.ศ. ๒๕๑๐ รวมเป็นเงิน ๙,๙๕๗.๐๗ บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าภาษี ๙,๙๕๗.๐๗ บาทแก่โจทก์ พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้อง จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้ค้างค่าภาษีโรงเรือน โรงเรือนและที่ดินเป็นของนางสอาด ศรีนาค โดยนางสอาดได้รับการยกให้โดยเสน่หาจากหมื่นประพันธ์นางสุนบิดามารดา จำเลยเป็นเพียงตัวแทน ขอให้ยกฟ้องโจทก์
นัดชี้สองสถาน จำเลยรับว่าได้ยื่นประเมินภาษีสำหรับโรงเรือนเลขที่ ๑๕๖๑-๑๕๖๓ ไว้ต่อโจทก์ และค้างชำระค่าภาษีอยู่จริง จำเลยกับนางสอาดเป็นสามีภริยากันมาเป็นเวลาประมาณ ๒๐ ปีแล้ว และในการยื่นประเมินภาษีนั้น จำเลยมิได้ระบุไว้ว่ากระทำแทนใคร
ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำสืบก่อน
ในวันนัดสืบพยานจำเลย จำเลยแถลงรับต่อไปว่าได้จดทะเบียนสมรสกับนางสอาดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ และได้รับการยกให้โรงเรือนและที่ดินเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๘ แล้วศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานทั้งสองฝ่าย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โรงเรือนรายนี้เป็นสินบริคณห์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๖๒ จำเลยผู้เป็นสามีย่อมเป็นผู้จัดการสินบริคณห์ตามมาตรา ๑๔๖๘ ทั้งจำเลยเป็นผู้ยื่นประเมินภาษีไม่ได้ระบุว่ากระทำแทนใคร ถือได้ว่ากระทำในฐานะผู้จัดการสินบริคณห์ จึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าภาษีให้โจทก์ พิพากษาให้จำเลยชำระค่าภาษีให้โจทก์เป็นเงิน ๙,๙๕๗.๐๗ บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในจำนวนเงินต้นดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ ๓๐๐ บาทแทนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้นางสอาดภริยาจำเลยจะได้รับการยกให้ระหว่างที่เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย โรงเรือนและที่ดินอาจไม่ใช่สินบริคณห์เสมอไป หากผู้ยกให้ระบุให้เป็นสินส่วนตัวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๖๔ จำเลยก็จัดการไม่ได้ย่อมไม่มีหน้าที่ต้องชำระค่าภาษี เพราะพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๔๐ ให้ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินเท่านั้นเป็นผู้เสียภาษี ปรากฏว่าจำเลยขอเลื่อนคดี ศาลอุทธรณ์เห็นควรให้จำเลยเลื่อนคดี เพื่อจะได้นำสืบว่าจำเลยมิได้เป็นเจ้าของโรงเรือนและที่ดิน ซึ่งไม่ต้องรับผิดใช้ค่าภาษี พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปความ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยไปรับแบบพิมพ์จากเทศบาลมากรอกรายการยื่นเสียภาษีโรงเรือนนั้น ได้กระทำไปในฐานะผู้รับประเมินผู้มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน เพราะพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๑๙ บัญญัติกำหนดหน้าที่เฉพาะผู้ถือกรรมสิทธิ์เท่านั้นที่จะยื่นได้ เพราะผู้ยื่นจะต้องแสดงความจริงตามรายการที่กรอกลงไป มิฉะนั้นอาจมีความผิดฐานยื่นข้อความเท็จตามมาตรา ๔๘ ได้นอกจากนี้การลงนามในแบบพิมพ์ที่ยื่นนั้น มาตรา ๓๗ ยังบัญญัติไว้ด้วยว่า ถ้ามีการมอบฉันทะให้ตัวแทนลงนามแทนจะต้องแสดงหนังสือมอบฉันทะเป็นหลักฐานด้วย เมื่อไม่มีหนังสือมอบฉันทะแสดงย่อมมีผลเท่ากับจำเลยมิได้กระทำการแทนผู้ใด ยิ่งกว่านั้นจำเลยได้รับแจ้งการประเมินภาษีจากโจทก์แล้วยังยอมรับว่าค้างชำระค่าภาษีอยู่จริงจำเลยมิได้อุทธรณ์โต้แย้งการประเมินภาษี ต้องถือว่าการประเมินภาษีของโจทก์เป็นไปโดยถูกต้องชอบแล้ว ซึ่งจำเลยมีหน้าที่จะต้องชำระค่าภาษีต่อโจทก์ภายใน ๙๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งความการประเมินตามความที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓๘ เมื่อฟังได้ว่าจำเลยกระทำไปในฐานะเป็นผู้รับประเมินเช่นนี้ จำเลยจึงเป็นบุคคลผู้พึงชำระค่าภาษีตามมาตรา ๕ ฉะนั้น จำเลยจะปฏิเสธการชำระค่าภาษีต่อโจทก์หาได้ไม่ทั้งจะผลักภาระการชำระค่าภาษีให้ไปตกแก่ภริยาจำเลยก็ไม่ได้ดุจกัน เพราะภริยาจำเลยไม่ใช่ผู้รับประเมินซึ่งมีหน้าที่ชำระค่าภาษีต่อโจทก์
ภริยาจำเลยได้รับการยกให้โรงเรือนพร้อมที่ดินโดยเสน่หาระหว่างจำเลยและภริยาจำเลยอยู่กินเป็นสามีภริยากัน การได้ทรัพย์สินมาเช่นนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๖๖ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส จำเลยจะกล่าวอ้างเป็นอย่างอื่น เช่นว่าไม่ใช่สินสมรสแต่เป็นสินส่วนตัวของภริยาจำเลย จำเลยจำต้องยกขึ้นเป็นประเด็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การโดยชัดแจ้ง มิฉะนั้นแล้วจำเลยก็ไม่มีประเด็นสืบ เมื่อฟังว่าที่ดินรวมทั้งโรงเรือนเป็นสินสมรสแล้วฐานะของจำเลยก็ย่อมเป็นเจ้าของร่วม ประกอบทั้งจำเลยเป็นผู้จัดการสินบริคณห์ด้วย จะว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดค่าภาษีเพราะไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินไปได้อย่างไร
พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๔๐ วางหลักว่า เจ้าของทรัพย์สินเป็นผู้เสียค่าภาษีเท่ากับต้องรับภาระโดยตรงเพียงฝ่ายเดียว เจ้าของจะไปผลักภาระภาษีให้ผู้เช่าหรือผู้ครองทรัพย์สินเสียไม่ได้ มิใช่ข้อตัดสิทธิมิให้เทศบาลเรียกร้องเอาค่าภาษีจากจำเลยผู้รับประเมินแต่อย่างใดไม่

Share