คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1726/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ธนาคารจำเลยเรียกเก็บเงินตามเช็คที่โจทก์นำฝากเข้าบัญชีของโจทก์ไม่ได้ ก็มิได้แจ้งให้โจทก์ทราบภายในเวลาอันควรแก่หน้าที่ตัวแทนนั้น หากปรากฎว่า ถึงอย่างไรลูกหนี้ตามเช็คก็สามารถชำระหนี้ได้เพี่ยงร้อยละ 50 แล้ว ก็จะถือว่าจำเลยทำให้โจทก์เสียหายมากกว่านี้ไม่ได้ และหากโจทก์มีโอกาสจะรับชำระหนี้ร้อยละ 50 จากลูกหนี้ แต่กลับไม่รับชำระเป็นการบำบัดปัดป้องหรือบรรเทาความเสียหายแล้ว ก็ถือว่าโจทก์มีส่วนทำความผิดให้เกิดความเสียหายด้วยจำเลยจึงไม่ต้องรับผิด

ย่อยาว

คดี ๒ สำนวนหนี้ พิจารณาพิพากษารวมกัน สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า เมื่อ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๒ โจทก์นำเช็คเงินสด ๓ ฉบับ ฉบับละ ๒๐,๐๐๐ บาท ซึ่งนายปองจิว แซ่หว่อง เจ้าของและผู้จัดการบริษัทโรงสีหนองแก จำกัด ออกชำระหนี้เข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์เพื่อให้เรียกเก็บเงินตามเช็ค ต่อมา ๗ และ ๘ มีนาคม ๒๕๐๓ โจทก์สั่งจ่ายเช็ค ๒ ฉบับ รวมเงิน ๒๐,๐๐๐ บาท จำเลยปฏิเสธการจ่ายเงินทั้ง ๒ ฉบับ วันที่ ๒๒ มีนาคม จำเลยจ่ายเงินให้โจทก์ ๓๐,๐๐๐ บาท โดยแจ้งว่าเช็คเงินสดที่โจทก์นำฝากเก็บเงินได้ไม่ครบ แต่เป็นเวลานานเกินสมควร ไม่มีทางที่โจทก์จะเรียกร้องเก็บจากผู้สั่งจ่ายได้ ทำให้โจทก์เสียหาย เพราะไม่แจ้งให้โจทก์ทราบภายใน ๗ วัน นับแต่จำเลยรับเช็คของโจทก์ไว้ ขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหาย ๓๐,๐๐๐ บาท และดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า เช็คที่โจทก์นำเข้าบัญชีเป็นเช็คลงวันล่วงหน้า จำเลยรับไว้เพื่อเรียกเก็บ จำเลยเรียกเก็บเงินตามวิธีการและประเพณีที่ธนาคารพาณิชย์ปฏิบัติกันในจังหวัดขอนแก่น เมื่อเก็บเงินไม่ได้ จำเลยก็แจ้งให้โจทก์ทราบ จำเลยมิได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อโจทก์มิได้เรียกร้องเอาจากนายปองจิวตามสิทธิของโจทก์เอง เงิน ๓๐,๐๐๐ โจทก์รับจากโรงสีไปหนองแกตามข้อตกลงประนอมหนี้และเวนคืนเช็คทั้งสามฉบับไปแล้ว
สำนวนที่ ๒ โจทก์ฟ้องทำนองเดียวกันสำนวนแรก แต่เป็นเช็ค ๙+ ฉบับ เงิน ๒๒๕,๐๐๐ บาท จำเลยให้การปฏิเสธทำนองเดียวกับสำนวนแรก
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เช็คที่โจทก์ทั้งสองนำเข้าบัญชีของโจทก์ เป็นเช็คลงวันที่ล่วงหน้าต่อมาธนาคารจำเลยเรียกเก็บเงินไม่ได้ จำเลยอยู่ในฐานะตัวแทนเรียกเก็บเงินเพื่อโจทก์ซึ่งเป็นลูกค้า จำเลยละเลยไม่แจ้งและคืนเช็คให้โจทก์ตามวิธีการของธนาคาร ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๑๒ ศาลชั้นต้นเห็นว่า ความเสียหายของโจทก์จะถือเอาตามจำนวนเงินในเช็คทีเดียวไม่ได้ โจทก์ไม่ได้นำสืบว่า ถ้าจำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบการเรียกเก็บเงินไม่ได้ โจทก์จะสามารถได้รับชำระหนี้จากลูกหนี้ได้เต็มจำนวน คงได้ความว่าได้มีการประนอมหนี้บริษัทโรงสีไฟหนองแค จำกัด ลูกหนี้ตกลงชำระหนี้ร้อยละ ๕๐ เห็นได้ว่า แม้โจทก์จะได้รับแจ้ง ตามกำหนดโจทก์ก็น่าจะได้รับชำระหนี้ร้อยละ ๕๐ นายชามโจทก์ได้รับชำระหนี้ครึ่งหนึ่ง คือ ๓๐,๐๐๐ บาท ไปจากจำเลยแล้ว จึงพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายให้นายยุ่นโจทก์ ๑๑๒,๕๐๐ บาท ให้ยกฟ้องนายเล่งโจทก์
โจทก์ทั้งสองและจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เมื่อเช็คถึงกำหนดและจำเลยเรียกเก็บเงินไม่ได้แล้ว จำเลยมิได้มีหลักฐานแสดงว่าได้แจ้งให้โจทก์ทราบดังที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้ ต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๑๒ โจทก์นำสืบถึงความเสียหายมุ่งไปในทางว่าหากนายปองจิวไม่หลบหนีโจทก์จะดำเนินคดีทางอาญาให้นายปองจิวนำเงินมาใช้ให้เต็มจำนวนในเช็ค แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การดำเนินคดีอาญาไม่ใช่วิธีการที่จะบังคับผู้ไม่มีทรัพย์ให้ชำระหนี้ได้ เมื่อโรงสีไฟหนองแกประชุมเจ้าหนี้ตกลงชำระหนี้ร้อยละ ๕๐ ไม่ได้ความว่า หากโจทก์ทราบในเวลาอันควรว่าจำเลยเรียกเก็บเงินไม่ได้ โจทก์จะได้รับชำระหนี้เต็มจำนวนในเช็ค เมื่อนายขามโจทก์รับชำระหนี้ไปร้อยละ ๕๐ แต่นายยุ่นโจทก์ไม่ยอมรับชำระหนี้ตามที่ควรจะได้รับ เป็นความผิดของนายยุ่นโจทก์เอง จะว่าจำเลยทำให้โจทก์เสียหายไม่ได้ พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องคดีนายยุ่นโจทก์เสียด้วย
โจทก์ทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ในข้อที่ได้มีการประนอมหนี้ตามเช็คของโรงสีไฟหนองแกซึ่งโจทก์ว่าไม่ได้ร่วมประชุมด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยมีพยานประกอบคำนายบรรหารจำเลยที่ ๒ มั่นคงพอรับฟังเช่นนั้นได้ และยังได้ความต่อไปว่า นายขอได้จ่ายเงินที่จะซื้อโรงสีล่วงหน้าไป ๓๐,๐๐๐ บาท และนายขามโจทก์ก็ได้รับเงินไปจากจำเลย ๓๐,๐๐๐ บาท นายจี้เฮียงผู้ไกล่เกลี่ยและนาย+ ผู้ซื้อโรงสีเป็นพยานจำเลยในข้อนี้มีน้ำหนักรับฟังได้ ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่จำเลยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบภายในเวลาอันควรแก่หน้าที่ตัวแทนเก็บเงินว่าเช็คของโจทก์เรียกเก็บไม่ได้นั้น ไม่เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายอันจำเลยจะต้องรับผิดอย่างใด ข้อที่โจทก์ว่าโจทก์อาจใช้สิทธิในทางอาญาบังคับในทางอ้อมให้นายปองจิวผู้สั่งจ่ายเช็คต้องหาเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เช็ครายนี้ โจทก์ก็รับอยู่ว่านายปองจิวออกในนามบริษัทโรงสีไฟหนองแก จำกัด ไม่ใช่เช็คส่วนตัวนายปองจิว และการที่จะใช้คดีอาญาเป็นทางบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้ทางอ้อมนั้น ศาลฎีกาก็ไม่เห็นว่าโจทก์จะอ้างเอาเหตุนี้มาเรียกร้องให้ศาลรับฟังว่าเป็นความเสียหายโดยตรงที่โจทก์ได้รับ เพราะโจทก์ไม่มีโอกาสจะใช้วิธีการเช่นนั้นแต่อย่างใด คดีลงฟังได้แต่เพียงว่า ถึงอย่างไรลูกหนี้ตามเช็คที่จำเลยเรียกเก็บเงินแทนโจทก์ก็สามารถชำระหนี้ได้เพียงร้อยละ ๕๐ จะถือว่าจำเลยทำให้โจทก์เสียหายมากกว่านั้นไม่ได้ นายชามโจทก์ได้รับชำระหนี้ไปตามนั้นแล้ว ส่วนนายยุ่น โจทก์มีโอกาสจะบรรเทาความเสียหายของตนในส่วนนี้ได้ทำนองเดียวกัน แต่กลับไม่กระทำเช่นนั้น ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๒๓ วรรค ๒ การที่เจ้าหนี้ละเลยไม่บำบัดปัดป้องหรือบรรเทาความเสียหายนั้น ถือเป็นเหตุที่เจ้าหนี้มีส่วนทำความผิดให้เกิดความเสียหาย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมา ประเด็นเรื่องความเสียหายของโจทก์นั้นเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำสืบ โจทก์จะเถียงว่าคดีไม่มีประเด็น เพราะจำเลยไม่ได้โต้เถียงหาได้ไม่ ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น

Share