แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยพิพาทกันเรื่องกรรมสิทธิ์ที่นา ศาลยังไม่ได้ชี้ขาดว่าที่พิพาทเป็นของฝ่ายใด โจทก์เข้าไถและหว่านข้าวก่อน จำเลยเข้าไถทับ จำเลยต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อการละเมิดนั้น
ย่อยาว
คดีนี้เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาสินไหมต่อมาได้แยกคดีอาญาเป็นอีกสำนวนหนึ่ง คดีนี้จึงพิพาทเป็นคดีแพ่งโดยเฉพาะ โดยโจทก์ฟ้องว่าจำเลยบังอาจเข้าไถนาในที่ดินที่โจทก์ครอบครองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และได้ไถหว่านข้าวไว้แล้ว เป็นเหตุให้ข้าวเสียหายคิดเป็นราคา 600 บาทและขาดผลประโยชน์อันควรได้อีก 2,400 บาท
จำเลยให้การว่าไม่ได้บุกรุกที่ดินโจทก์ ๆ เป็นฝ่ายบุกรุกเข้าไถหว่านข้าวในที่ดินจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 7 ใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ 620 บาท ยกฟ้องจำเลยที่ 2, 3, 4, 5, 6
โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 7 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยที่ 1 และที่ 7 ใช้ค่าเสียหาย1,500 บาท
จำเลยที่ 1 และที่ 7 ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าที่นารายพิพาทนี้โจทก์จำเลยกำลังโต้เถียงกรรมสิทธิ์กันอยู่ ศาลยังไม่ได้ชี้ขาดว่าที่พิพาทเป็นของผู้ใด การที่จำเลยที่ 1 และที่ 7 ไถนาทับที่ ๆ โจทก์ได้ไถหว่านแล้วถือได้ว่าจำเลยได้กระทำไปโดยจงใจและทำให้เกิดเสียหายแก่ทรัพย์สินของโจทก์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการใช้สิทธิ ซึ่งมีแต่จะเกิดเสียหายแก่โจทก์อันเป็นการอันมิชอบด้วยกฎหมาย จำเลยต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน จึงพิพากษายืน