แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คนร้ายลักพระแสงกระบี่ของพระบรมรูปทรงม้าไปขายจำเลยที่ร้านซึ่งได้รับอนุญาตให้ค้าของเก่าโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุ ในเวลาค้าขายตามปกติ เป็นการกระทำตามปกติในธุรกิจการค้า แม้รับซื้อไว้ในราคาถูกและไม่ลงรายการการซื้อในบัญชีแสดงรายการโบราณวัตถุและศิลปวัตถุแต่จำเลยมิได้เก็บพระแสงกระบี่ไว้ในลักษณะปิดบังซ่อนเร้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยรับซื้อไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยไม่มีความผิดฐานรับของโจร
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 จำคุก 3 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา โดยรับอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ทางพิจารณาข้อเท็จจริงในเบื้องต้นได้ความว่า ระหว่างวันที่ 13 ตุลาคม 2523 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2523 เวลากลางวัน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัดได้มีคนร้ายลักเอาพระแสงกระบี่ของพระบรมรูปทรงม้าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินไป วันที่ 15 ตุลาคม 2523 เวลาประมาณ 11.30 นาฬิกา นายสมนึก มากรุ่ง นำพระแสงกระบี่ดังกล่าวไปขายให้แก่จำเลยที่ร้านอิมพีเรียลอาร์ต โดยจำเลยได้รับอนุญาตให้ทำการค้าของเก่าโบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุ จำเลยรับซื้อไว้ในราคา 2,500 บาท นายสมนึกและนายสมยศหรือจุ๋ม วิชิตนาค ถูกฟ้องในข้อหาฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรพระแสงกระบี่ดังกล่าว นายสมนึกและนายสมยศหรือจุ๋มรับสารภาพฐานรับของโจร ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกและคดีถึงที่สุดแล้ว ตามคดีหมายเลขแดงที่ 17053/2523 ของศาลอาญา
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยรับซื้อพระแสงกระบี่ของกลางไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่โจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2523 นายสมนึกและนายสมยศหรือจุ๋มไปดื่มสุราที่บ้านเพื่อนคนหนึ่ง จนถึงเวลาประมาณ 24 นาฬิกาจึงออกจากบ้านเพื่อนแล้วไปนั่งดื่มสุราต่อที่ใกล้ ๆ พระบรมรูปทรงม้าเมื่อมึนเมาก็นอนหลับอยู่ในบริเวณนั้น ครั้นเวลาประมาณ 6.30 นาฬิกาของวันรุ่งขึ้นนายสมยศหรือจุ๋มได้ปีนนั่งร้านที่กรมศิลปากรจัดทำขึ้นเพื่อทำการรมดำพระบรมรูปทรงม้าขึ้นไปลักเอาพระแสงกระบี่ของกลางจากนั้นนายสมนึกและนายสมยศหรือจุ๋มว่าจ้างรถแท็กซี่นำพระแสงกระบี่ไปบอกขายที่ร้านค้าวัตถุโบราณบริเวณสี่พระยา เขตบางรัก กรุงเทพมหานครเมื่อลงจากรถแล้วนายสมยศหรือจุ๋มอยู่เฝ้าพระแสงกระบี่ ส่วนนายสมนึกไปติดต่อบอกขาย ร้านค้าวัตถุโบราณ 2 ร้านแรกไม่รับซื้อโดยอ้างว่านายสมนึกเมาพูดไม่รู้เรื่อง นายสมนึกจึงไปบอกขายที่ร้านจำเลย จำเลยขอดูของ นายสมนึกนำพระแสงกระบี่และพู่ซึ่งหักออกจากพระแสงกระบี่ไปให้จำเลยดูโดยเสนอขายในราคา 2,500 บาท จำเลยรับซื้อและชำระราคาต่อมาพันตำรวจตรีไพบูลย์ อาริยวัฒน์ สารวัตรสืบสวนสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลดุสิต จับกุมนายสมยศหรือจุ๋มได้และติดตามจับกุมนายสมนึกเมื่อนายสมนึกทราบเรื่องจึงโทรศัพท์แจ้งให้พันตำรวจตรีไพบูลย์ทราบว่าได้นำพระแสงกระบี่ไปขายไว้ที่ร้านจำเลย พันตำรวจตรีไพบูลย์ไปตรวจค้นที่ร้านจำเลย พบพระแสงกระบี่ซุกซ่อนอยู่ใต้หิ้งชั้นโชว์ของเก่าจึงยึดมาเป็นของกลาง พระแสงกระบี่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ยาว 1 เมตร 90เซนติเมตร กว้าง 5 เซนติเมตร หนา 3 เซนติเมตร หนักประมาณ 16 กิโลกรัมเศษ ทางราชการกำหนดราคา 1,000,000 บาท เพราะเป็นวัตถุโบราณนางก่องกูล บุญมาก ภัณฑารักษ์ 5 กองพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติกรมศิลปากรไปตรวจบัญชีแสดงรายการโบราณวัตถุและศิลปวัตถุของร้านจำเลยปรากฏว่าจำเลยทำบัญชีไม่เรียบร้อยเพราะขาดรายละเอียดตามแบบที่อธิบดีกรมศิลปากรกำหนด และลงรายการการซื้อขายแต่ละวันไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ได้ลงรายการการซื้อขายพระแสงกระบี่
จำเลยนำสืบว่า เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2523 เวลาก่อนเที่ยงนายสมนึกแบกพระแสงกระบี่ซึ่งไม่มีสิ่งใดห่อหุ้มไปบอกขายให้จำเลยโดยอ้างว่าเป็นมรดกตกทอดมาแต่บรรพบุรุษ เสนอขายในราคา 5,000 บาท ขั้นแรกจำเลยไม่ซื้อ นายสมนึกอ้อนวอนให้จำเลยรับซื้ออ้างว่ามีความจำเป็นต้องการใช้เงินและได้ลดราคาลงเหลือ 2,500 บาทโดยจำเลยมิได้ต่อรองจำเลยถามว่าเป็นของขโมยหรือเปล่า นายสมนึกตอบว่าเปล่า จำเลยจึงรับซื้อไว้ นายสมนึกแต่งกายเรียบร้อยไม่มีอาการเมาสุรา จำเลยวางพระแสงกระบี่ไว้ข้างตู้กระจกหลังเก้าอี้ มิได้ซุกซ่อนไว้แต่อย่างไร จำเลยซื้อพระแสงกระบี่ไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิด
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยได้รับอนุญาตจากทางราชการให้ทำการค้าของเก่า โบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุ และนายสมนึกนำพระแสงกระบี่ซึ่งไม่มีสิ่งใดห่อหุ้มไปขายให้แก่จำเลยในเวลาค้าขายตามปกติการซื้อพระแสงกระบี่ของจำเลยจึงเป็นการกระทำตามปกติในธุรกิจการค้าข้อที่โจทก์นำสืบทำนองว่าขณะนำพระแสงกระบี่ไปบอกขาย นายสมนึกเมาพูดไม่รู้เรื่องและการที่นายสมนึกยอมขายในราคาเพียง 2,500 บาท แสดงว่านายสมนึกไม่ใช่เจ้าของพระแสงกระบี่เพราะไม่รู้คุณค่าและรีบร้อนจะขายนั้น จำเลยก็เบิกความว่าขณะนำพระแสงกระบี่ไปบอกขาย นายสมนึกแต่งกายเรียบร้อยไม่มีอาการเมาสุรา โดยมีนายระพีพัฒน์ เลาวจีศักดิ์ เบิกความสนับสนุน และจำเลยเบิกความด้วยว่า จำเลยรับซื้อไว้เพื่อขายต่อเอากำไร ข้อที่โจทก์อ้างว่านายสมนึกเมา พูดไม่รู้เรื่อง จึงรับฟังไม่ได้และการที่จำเลยรับซื้อไว้ในราคาถูกจึงไม่เป็นพิรุธ ทั้งข้อที่พันตำรวจตรีไพบูลย์พยานโจทก์เบิกความว่า วันที่ไปตรวจค้นร้านจำเลย พบพระแสงกระบี่ซุกซ่อนอยู่ใต้หิ้งชั้นโชว์ของเก่า เป็นทำนองว่าจำเลยปิดบังซ่อนเร้นพระแสงกระบี่นั้น พันตำรวจตรีไพบูลย์เบิกความตอบจำเลยว่า วันที่ไปตรวจค้นร้านจำเลยผู้บังคับการตำรวจนครบาลเหนือร่วมไปด้วย และขณะพบพระแสงกระบี่นั้นปลายพระแสงกระบี่โผล่ออกมาจากใต้หิ้งชั้นโชว์ของเก่า ประกอบกับพลตำรวจตรีสถาพร วิมุกตานนท์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจนครบาลเหนือในขณะเกิดเหตุเบิกความเป็นพยานจำเลยว่าวันที่ไปตรวจค้นร้านจำเลย พยานไปถึงร้านจำเลยเวลา 22 นาฬิกา ร้านจำเลยปิดแล้ว พยานเรียกให้เปิดประตู แม่ยายจำเลยเป็นผู้เปิดประตูพยานและพันตำรวจเอกสุธรรมเข้าไปในร้านจำเลย เห็นพระแสงกระบี่วางไว้บนพื้น ไม่มีอะไรห่อหุ้ม ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเก็บพระแสงกระบี่ไว้ในลักษณะปิดบังซ่อนเร้น แม้จำเลยจะไม่ได้ลงรายการการซื้อพระแสงกระบี่จากนายสมนึกในบัญชีแสดงรายการวัตถุและศิลปวัตถุของร้านจำเลย เมื่อพิจารณาถึงพฤติการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวประกอบแล้ว ถือไม่ได้ว่าจำเลยรับซื้อพระแสงกระบี่ของกลางไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์