แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์นำยึดที่ดินมีโฉนดของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาผู้ร้องยื่นคำร้องว่าผู้ร้องได้ฟ้องจำเลยขอให้โอนขายกรรมสิทธิ์ที่ 2 แปลงนั้น ตามสัญญาซื้อขายและรับเงินค่าที่ดินยังเหลืออยู่ไป ขอให้สั่งงดการขายทอดตลาดไว้จนกว่าคดีที่ผู้ร้องได้ฟ้องนั้นจะถึงที่สุด ดังนี้ ผู้ร้องไม่มีสิทธิมาร้องขอเช่นนั้นได้ เพราะมิใช่เป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในคดีที่โจทก์นำยึดนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 280
ย่อยาว
จำเลยมิได้ชำระเงินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา โจทก์ได้ขอให้บังคับคดีและนำยึดที่ดินของจำเลยที่ ๑ รวม ๒ โฉนดไว้เพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ ต่อศาลแพ่ง ขอให้โอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดทั้งสองนั้นให้ตามหนังสือสัญญาซื้อขายและรับเงินค่าที่ดินที่ยังเหลืออยู่ไป ปรากฎตามคดีดำที่ ๑๘๕๕/๒๕๐๕ ที่ดินทั้ง ๒ แปลงนี้ผู้ร้องได้เข้าครอบครองถมดิน ทำรั้ว และปลูกอาคารตามที่ได้ตกลงกันไว้ ถ้าหากมีการขายทอดตลาดที่ดินแล้วจะทำให้ผู้ร้องเสียหายมาก ไม่ได้รับการโอนกรรมสิทธิทั้งไม่ปรากฎว่าจำเลยมีทรัพย์สินอื่นใดที่จะติดตามเรียกร้องเอาค่าเสียหายได้ ผู้ร้องมีส่วนได้เสียเกี่ยวกับที่ดิน ๒ แปลงนี้ จึงขอยื่นคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๙๒ (๒),๓๐๖ ขอให้ศาลสั่งงดการขายทอดตลาดไว้ก่อนจนกว่าคดีที่ผู้ร้องได้ฟ้องนั้นจะถึงที่สุด
ศาลแพ่งมีคำสั่งว่า คำร้องของผู้ร้องไม่มีเหตุที่ศาลจะสั่งงดการบังคับคดีตามกฎหมายได้ จึงให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องมิใช่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีนี้ โดยผู้ร้องได้ฟ้องจำเลยที่ ๑ ให้รับเงินค่าที่ดินที่โจทก์ยึดมานี้ และให้โอนที่ดินให้แก่ผู้ร้อง คดีนั้นยังอยู่ในระหว่างพิจารณา จึงเห็นได้ชัดว่าผู้ร้องมิใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีที่โจทก์นำยึดนี้ หากแต่กำลังเป็นความฟ้องร้องกันอยู่กับจำเลยที่ ๑ เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก จึงมิใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๐ จึงไม่มีสิทธิที่จะมาร้องขอให้งดการขายทอดตลาดที่ ๒ แปลงนี้ได้
พิพากษายืน