แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยนำสินค้าพิพาทจากประเทศ สิงคโปร์เข้ามา 2 ครั้ง ครั้งแรกแบบ ซีวีโอ 700 จำนวน 150 ชุด ครั้งที่ 2 แบบ ซีวีโอ 500 จำนวน204 ชุด โดยสั่งซื้อ จากบริษัท ช. ราคาสินค้าพิพาทที่จำเลยสำแดงก็เท่ากับที่ผู้นำเข้ารายอื่นนำเข้าทางท่าเรือกรุงเทพในระยะเวลานั้น การที่โจทก์นำราคาสินค้าชนิดเดียวกันซึ่ง ว. สั่งซื้อ จากผู้ขายต่าง รายกัน และนำเข้าในจำนวนน้อยกว่ามาก โดย นำเข้าแบบซีวีโอ 500 จำนวน 100 ชุด และแบบ ซีวีโอ 700 จำนวนเพียง 2 ชุดเพียงรายเดียว มาเปรียบเทียบกับราคาสินค้าของจำเลย โดย ถือว่าเป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดแล้วเรียกเก็บภาษีอากรเพิ่มเติมจากจำเลย ทั้ง ๆ ที่ระยะเวลานำเข้าก็ต่างกันเกือบ 1 ปี และต่าง ปีกันจึงไม่ถูกต้อง ถือได้ว่าราคาสินค้าที่จำเลยสำแดงไว้เป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยนำสินค้าเครื่องปรุงแต่งอาหารเข้ามาในราชอาณาจักร ๒ ครั้ง โดยชำระอากรขาเข้า ภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลแล้วต่อมาเจ้าหน้าที่ของโจทก์ตรวจพบว่าจำเลยสำแดงราคาต่ำกว่าราคาที่แท้จริง จึงแจ้งการประเมินให้จำเลยทราบเพื่อชำระภาษีอากรเพิ่ม แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินภาษีอากรจำนวน ๙๖,๖๐๕.๖๘ บาท แก่โจทก์ และชำระเงินเพิ่มอากรขาเข้าร้อยละ ๑ ต่อเดือน จากต้นเงินอากรขาเข้าจำนวน ๓๕,๗๑๐.๑๙ บาท ชำระเงินเพิ่มภาษีการค้าร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือนจากต้นเงินภาษีการค้าจำนวน ๓๓,๓๙๐.๑๑ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยชำระภาษีบำรุงเทศบาลในอัตราร้อยละ ๑๐ ของภาษีการค้า
จำเลยให้การว่า ผู้สั่งสินค้าเข้ามานั้น คือ หจก. กรุงเทพฟิล์มจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว ราคาสินค้าที่ หจก. กรุงเทพฟิล์มสำแดงในใบขนสินค้าขาเข้าและแบบแสดงรายการการค้านั้น เป็นราคาที่ถูกต้องแท้จริง หากสำแดงราคาผิดพลาดไปก็ไม่เกินรายละ ๑๐,๐๐๐ บาท รวมเงินภาษีอากรที่จำเลยต้องชำระให้โจทก์ทั้งสิ้นไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินให้แก่โจทก์ตามคำขอท้ายฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองฎีกาขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ได้ความว่า จำเลยนำสินค้าพิพาทหรือเครื่องอบอาหารด้วยไฟฟ้ายี่ห้ออิมมาเฟล็ก จากประเทศสิงคโปร์เข้ามา ๒ ครั้ง ครั้งแรกนำเข้ามาเมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๒๖ เป็นแบบวซีวีโอ ๗๐๐ จำนวน ๑๕๐ ชุด จำเลยสำแดงราคาชุดละ ๖๔ เหรียญสิงคโปร์ตามใบขนและใบส่งของเอกสารหมาย จ.๕ และ จ.๖ ครั้งที่ ๒ นำเข้าเมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๒๖ เป็นแบบซีวีโอ ๕๐๐ จำนวน ๒๐๔ ชุด สำแดงราคาชุดละ ๖๐ เหรียญสิงคโปร์ ตามใบขนและใบส่งของเอกสารหมาย จ.๘ และ จ.๙ โดยจำเลยซื้อสินค้าจากบริษัทเ+เทรดดิ้ง จำกัดทั้งสองครั้ง ส่วนราคาสินค้าที่โจทก์ทั้งสองนำมาเปรียบเทียบกับราคาสินค้าของจำเลยดังกล่าว โดยโจทก์ถือว่าเป็นราคาอันแท้จริงในห้องตลาดแล้วเรียกเก็บภาษีอากรเพิ่มจากจำเลยตามราคาดังกล่าวนั้น คือราคาสินค้าชนิดเดียวกันที่นางวันขลี กรัยวิเชียร นำเข้ามาเมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ ตามสำเนาใบส่งของ และสำเนาใบขนเอกสารหมาย จ.๑๒ และ จ.๑๓ โดยนางวันขลีนำเข้าแบบซีวีโอ ๕๐๐ จำนวน ๑๐๐ ชุด สำแดงราคาชุดละ ๗๙ เหรียญสิงคโปร์ ซึ่งนายวันชลีสั่งซื้อจากฮอลลีวู๊ด การ์เมนต์เมนูแฟคเจอร์เรอร์ ตามหลักฐานดังกล่าวเห็นได้ว่าสินค้าแบบซีวีโอ ๕๐๐ ที่จำเลยสำแดงราคาไว้ชุดละ ๖๐ เหรียญสิงคโปร์นั้นต่างกับราคาที่นางวันขลีสำแดงไว้ชุดละ ๗๙ เหรียญสิงคโปร์ไม่มากนัก ทั้งนี้เพราะทั้งจำเลยและนางวันขลีนั้นน่าจะเป็นเพราะจำเลยซื้อจำนวนมากกว่านางวันชลี คือจำเลยซื้อถึง ๒๐๔ ชุด ขณะที่นางวันชลีซื้อเพียง ๑๐๐ ชุด ส่วนแบบซีวีโอ ๗๐๐ จำเลยสำแดงราคาไว้ชุดละเพียง ๖๔ เหรียญสิงคโปร์ต่ำกว่าราคาที่นางวันชลีสำแดงไว้ชุดละถึง ๑๐๕ เหรียญสิงคโปร์มาก ที่เป็นดังนี้ก็น่าจะเป็นเพราะจำเลยสั่งเข้ามาถึง ๑๕๐ ชุด แต่นางวันชลีนำเข้ามาเพียง ๒ ชุด ที่จำเลยนำสืบว่าการซื้อจำนวนมากจะได้ราคาถูก ถ้าซื้อจำนวนน้อยราคาก็แพงเมื่อคิดราคาแต่ละชุดนั้นมีเหตุผลดังนั้นที่โจทก์ทั้งสองนำราคาสินค้าที่นางวันชลีซื้อจำนวนน้อยเพียง ๒ ชุดไปเปรียบเทียบกับราคาสินค้าที่จำเลยซื้อถึง ๑๕๐ ชุดนั้นน่าจะไม่ถูกต้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโจทก์ทั้งสองนำสินค้าที่นางวันชลีนำเข้าเพียงรายเดียวมาเปรียบเทียบกับสินค้าที่จำเลยนำเข้า ทั้ง ๆ ที่เห็นได้ชัดว่านางวันชลีนำสินค้าเข้ามาเมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ ในขณะที่จำเลยนำสินค้าพิพาทเข้ามาเมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๒๖ และ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๒๖ ต่างเวลากันเกือบ ๑ ปี และต่างปีกัน ราคาสินค้าย่อมแตกต่างกันนำมาเปรียบเทียบกันด้ยาก นอกจากนี้จำเลยกับนางวันชลีก็ซื้อจากผู้ขายต่างรายกัน วิธีการชำระเงินจะเหมือนกันเช่นซื้อเงินสดเหมือนกันหรือไม่ก็ไม่ปรากฎ ได้ความจากนางสาวจรรยา โรจนดิลก พยานโจทก์ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ประเมินอากร ๕ ของโจทก์ที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบราคาสินค้าพิพาท และพิกัดว่าพยานได้ตรวจสอบราคาสินค้าพิพาทที่จำเลยสำแดงก็ปรากฎว่าเท่ากับราคาสินค้าที่ผู้นำเข้ารายอื่นนำเข้ามาทางท่าเรือกรุงเทพ ในระยะเวลานั้นพยานจึงตรวจปล่อยสินค้าของจำเลยไปทั้งสองครั้ง ศาลฎีกาเห็นว่า พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมีน้ำหนักมากกว่าพยานโจทก์ ฟังได้ว่าราคาสินค้าที่จำเลยสำแดงไว้เป็นราคาอันแท้จริงในท้องตลาดส่วนที่จำเลยเบิกความรับว่าหลังจากพิพาทกันในคดีนี้แล้วจำเลยยอมเสียภาษีสินค้าแบบซีวีโอ ๗๐๐ โดยคำนวณจากราคาชุดละ ๑๐๕ เหรียญสิงคโปร์นั้น หาได้เป็นการยอมรับว่าราคาสินค้าที่จำเลยสำแดงในคดีนี้ต่ำกว่าราคาอันแท้จริงในท้องตลาดดังที่โจทก์ทั้งสองฎีกาไม่เพราะเป็นเรื่องของราคาสินค้าต่างเวลากันและเป็นเรื่องที่จำเลยสมัครใจเสียภาษีเองซึ่งไม่อาจไม่ตรงกับความเป็นจริงก็ได้
พิพากษายืน