คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 172/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน มิใช่ของโจทก์ โจทก์ จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยข้อหาบุกรุก แม้จะปรากฏว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน แต่เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อนจำเลยกับพวก การที่จำเลยกับพวกเอาเสาปูนซิเมนต์ ไปปักในที่พิพาท จึงเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องเพื่อปลดเปลื้องการรบกวนสิทธิของโจทก์ และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ขอให้ลงโทษฐานบุกรุก และให้ใช้ค่าเสียหาย เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การนำสืบ ว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน เพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลย ไม่ได้กระทำผิดตามฟ้องย่อมกระทำได้ ข้อเท็จจริงจึงเกิดจากการ ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบ ศาลจึงมีอำนาจยกข้อเท็จจริงขึ้น วินิจฉัยในคดีส่วนแพ่งได้ว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติโจทก์มีสิทธิ ครอบครอง ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จำเลยทั้งหกร่วมกันบุกรุกนำเสาปูนซีเมนต์ 2 ต้น เข้าไปปักในที่ดินของโจทก์ อ้างว่าที่ดินส่วนนั้นเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ เป็นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เพื่อจะขายให้จำเลยที่ 6 ทำให้โจทก์เสียหายไม่สามารถเข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365(2)ให้จำเลยทั้งหกและบริวารออกจากที่พิพาทของโจทก์และห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยทั้งหกร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งหกให้การว่า ไม่ได้กระทำผิดดังโจทก์ฟ้อง ที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 และที่ 2
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(2) ให้จำคุกคนละ 3 เดือน และปรับคนละ 1,000 บาท พิจารณาสภาพของความผิดและจำเลยทั้งสองไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ออกจากที่พิพาทห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไปและร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์1,000 บาท คำขออื่นให้ยก สำหรับจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรม ไม่มีผู้ใดร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนภายใน 1 ปี นับแต่วันที่จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรมศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 วรรค 2
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1ข้อหาบุกรุกด้วย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยมาและคู่ความมิได้โต้แย้งกันว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ที่ประชาชนใช้ร่วมกันเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์ มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นคดีอาญาข้อหาบุกรุกหรือไม่ เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินมิใช่ของโจทก์โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1ข้อหาบุกรุก อุทธรณ์ ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
สำหรับจำเลยที่ 1 นั้น ฎีกาในทางแพ่งว่า จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาท โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายพิเคราะห์แล้วเห็นว่าข้อนี้โจทก์อ้างตนเองและมีนายอู๊ด ทองแว่นนายละมัย สายคำตั้ง นายลุก ทองสัตย์ เป็นพยานเบิกความยืนยันว่าที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทะเบียน เล่ม 4 หน้า 135 สารบบ เล่ม 12 หน้า 102 หมู่ 12ตำบลวังบาล อำเภอหล่มเก่า จังหวัดเพชรบูรณ์ เอกสารหมาย จ.1โดยเป็นที่ดินที่โจทก์ซื้อมาจากนายนิคม คุณเที่ยง ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.2 เมื่อซื้อมาแล้ว โจทก์ก็ได้เข้าทำสวนทำไร่ในที่ดินนี้ตลอดมา จนกระทั่งวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2531 จำเลยทั้งหกได้ร่วมกันนำเอาเสาปูนซีเมนต์ 2 ต้น เข้าไปปักในที่พิพาทอ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 โจทก์จึงไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจโทชวน แก้วรอด พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอหล่มเก่าให้ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งหก และตามคำเบิกความของร้อยตำรวจโทชวนและนายอิทธิพล แสงสว่าง เจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินอำเภอหล่มเก่าพยานโจทก์ ได้ความต่อไปว่าเมื่อร้อยตำรวจโทชวนรับแจ้งความจากโจทก์แล้วในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2531 พยานทั้งสองได้ออกไปตรวจดูบริเวณที่พิพาท ปรากฎว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินที่โจทก์ซื้อมาจากนายนิคม พยานโจทก์ดังกล่าวทุกปากเบิกความสอดคล้องต้องกันมีพยานเอกสารสนับสนุนน่าเชื่อถือ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาท ที่จำเลยที่ 1 นำสืบต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณะ จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นฝ่ายครอบครองนั้น จำเลยที่ 1คงมีแต่พยานบุคคลมาเบิกความลอย ๆ ไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุนทั้งยังนำสืบแตกต่างไปจากที่ได้ให้การต่อสู้ไว้จึงมีน้ำหนักน้อยสู้พยานหลักฐานของโจทก์ไม่ได้ ที่พิพาทนี้แม้จะปรากฏว่าเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์เป็นฝ่ายครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ก่อนที่จำเลยที่ 1 กับพวกจะนำเอาเสาปูนซีเมนต์เข้าไปปักและอ้างว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในระหว่างโจทก์ จำเลยที่ 1 และที่ 2สิทธิของโจทก์ซึ่งมีอยู่เหนือที่พิพาทย่อมดีกว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2การที่จำเลยที่ 1 กับพวกนำเอาเสาปูนซีเมนต์ไปปักในที่พิพาทดังกล่าวแล้วข้างต้น จึงเป็นการรบกวนสิทธิของโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องคดีนี้เพื่อปลดเปลื้องการรบกวนสิทธิของโจทก์และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่ 1 ได้ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
จำเลยที่ 1 ฎีกาข้อต่อไปว่า โจทก์ฟ้องยืนยันว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 หยิบยกประเด็นขึ้นวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์มีสิทธิครอบครองจึงเป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็นศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่อาจยกประเด็นดังกล่าวมาวินิจฉัยได้ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา การนำสืบข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิดตามฟ้องย่อมกระทำได้ ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงเกิดจากการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีอำนาจยกข้อเท็จจริงนี้ขึ้นวินิจฉัยในคดีส่วนแพ่งได้ ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น”
พิพากษายืน.

Share