คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 172/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยนำเงินมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์เป็นงวด ๆ ตามคำพิพากษาตามยอม โจทก์มีสิทธิมารับเงินแต่ละงวดได้ทันทีหลังจากจำเลยนำเงินมาวาง เมื่อโจทก์ไม่มารับเงินงวดใดเงินงวดนั้น ๆ ก็เป็นเงินค้างจ่ายอยู่ในศาล การที่โจทก์เพิกเฉยไม่เรียกเอาเสียภายในห้าปีนับแต่วันที่จำเลยนำเงินมาวางศาล เงินงวดนั้น ๆ จึงตกเป็นของแผ่นดิน

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลว่าจำเลยยอมชำระเงิน ๘,๗๐๐ บาทให้โจทก์โดยผ่อนชำระเดือนละ ๓๐๐ บาท จนกว่าจะครบ จำเลยจะนำเงินที่ต้องชำระมาวางศาลเพื่อให้โจทก์รับไปศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม จำเลยได้นำเงินมาวางศาลงวดละ ๓๐๐ บาท ตั้งแต่วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๒๑ รวม ๒๑ งวดเป็นเงิน ๖,๓๐๐ บาท งวดสุดท้ายมาวางเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๒๓ เงินงวดที่จำเลยมาวางศาลนับแต่วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๒๑ ถึงงวดวันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๒๓ เกินห้าปีแล้ว ส่วนเงินงวดวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๒๓ กับงวดวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๒๓ ยังไม่เกิน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ตรวจจ่ายให้เฉพาะที่ไม่เกินห้าปี จำนวน ๖๐๐ บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๒๓ บัญญัติว่า บรรดาเงินต่าง ๆ ที่ค้างจ่ายอยู่ในศาลหรือที่เจ้าพนักงานบังคับคดีถ้าผู้มีสิทธิมิได้เรียกเอาภายในห้าปี ให้ตกเป็นของแผ่นดิน คดีนี้จำเลยนำเงินมาวางศาลเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์เป็นงวด ๆ โจทก์มีสิทธิมารับเงินแต่ละงวดได้ทันทีหลังจากจำเลยนำเงินมาวางศาล เมื่อโจทก์ไม่มารับเงินงวดดังกล่าว เงินงวดนั้น ๆ ก็เป็นเงินค้างจ่ายอยู่ในศาล การที่โจทก์เพิกเฉยไม่เรียกเอาเสียภายในห้าปีนับแต่วันที่จำเลยนำเงินมาวางศาล เงินแต่ละงวดนั้น ๆ ก็ตกเป็นของแผ่นดินไป ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เห็นพ้องกันสั่งให้จ่ายเงินเฉพาะงวดที่ไม่เกินห้าปี จำนวน ๖๐๐ บาท ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
พิพากษายืน.

Share