คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1718/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิม จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ ร. ตามคำพิพากษา โจทก์เข้าเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ระหว่างอุทธรณ์ ต่อมาคดีถึงที่สุด ร. ดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 และของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันเพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3ผู้รับมอบอำนาจได้ร้องขัดทรัพย์ที่ยึดของจำเลยที่ 1 อ้างว่าเป็นของจำเลยที่ 2 ซื้อจากจำเลยที่ 1 โดยมีหนังสือสัญญาซื้อขาย แต่ก่อนที่จะมีการพิจารณาคดีผู้ร้องขัดทรัพย์ได้ถอนคำร้องขัดทรัพย์ และ ร. ได้ถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 แม้หนังสือสัญญาซื้อขายนั้น อันเป็นเอกสารเท็จ แต่จำเลยยังไม่ทันได้อ้างต่อศาลในการพิจารณาคดีร้องขัดทรัพย์ ทั้งในคดีร้องขัดทรัพย์นั้น โจทก์หาได้เป็นคู่ความด้วยไม่ โจทก์จึงยังไม่ได้รับความเสียหาย ไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 ได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 103/2496)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยสมคบกันร้องเท็จต่อศาล และร่วมกันทำเอกสารสัญญาซื้อขายทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดในคดีแพ่งแดงที่ 95/2510 อันเป็นเท็จ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 180, 264, 265, 268

ศาลชั้นต้นไต่สวน คดีมีมูล ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา

จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้ว ซึ่งฟังได้เป็นยุติว่า เดิมจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้นายเรือง อุ่นเรือน ตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดศรีสะเกษ ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 65/2510 แต่ขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยร้องขอทุเลาการบังคับศาลอุทธรณ์อนุญาตโดยให้หาหลักประกัน โจทก์คดีนี้ จึงได้เข้าเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ระหว่างอุทธรณ์ ต่อมาเมื่อคดีนั้นถึงที่สุด จำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดี นายเรือง อุ่นเรือน โจทก์ในคดีนั้นขอบังคับคดี โจทก์ได้พาจำเลยที่ 1 ไปพบจำเลยที่ 3 ให้ทำคำร้องขอขยายเวลาชำระหนี้ตามคำบังคับมีกำหนด 150 วัน ศาลจังหวัดศรีสะเกษไม่อนุญาต นายเรืองจึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในคดีนั้นและของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกัน เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ แต่ยังไม่ได้ประกาศขายจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 ผู้รับมอบอำนาจ ได้ร้องขัดทรัพย์ที่ยึดของจำเลยที่ 1 อ้างว่าเป็นของจำเลยที่ 2 โดยซื้อจากจำเลยที่ 1ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2509 มีหนังสือสัญญาซื้อขายกัน ก่อนนายเรืองอุ่นเรือน โจทก์ในคดีนั้นจะยื่นคำให้การแก้คดี และมีการพิจารณาคดีร้องขัดทรัพย์นั้น ผู้ร้องขัดทรัพย์ได้ขอถอนคำร้องขัดทรัพย์และศาลจังหวัดศรีสะเกษสั่งอนุญาตไปแล้วตั้งแต่วันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2513 โดยผู้ร้องขัดทรัพย์คือจำเลยยังไม่ทันได้อ้างหนังสือสัญญาซื้อขายตามเอกสารหมาย ล.1 ในคดีดังกล่าวนั้นเลย และในวันเดียวกัน นายเรือง อุ่นเรือนโจทก์ผู้นำยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวก็ร้องขอถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว ศาลจังหวัดศรีสะเกษก็มีคำสั่งอนุญาตเช่นเดียวกัน

ที่โจทก์ฎีกาว่า เอกสารสัญญาซื้อขายหมาย ล.1 ที่จำเลยร่วมกันทำขึ้นเป็นเอกสารเท็จ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 และโจทก์เป็นผู้เสียหาย มีอำนาจฟ้องจำเลยซึ่งสมคบกันกระทำการอันเป็นเท็จต่อศาลได้นั้น

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ถึงแม้จะฟังว่าเอกสารสัญญาซื้อขายหมาย ล.1อันเป็นเอกสารมูลกรณีคดีนี้ เป็นเอกสารเท็จก็ตาม แต่ได้ความว่า จำเลยยังไม่ทันได้นำเอกสารหมาย ล.1 นั้นมาอ้างต่อศาลในการพิจารณาคดีร้องขัดทรัพย์ดังกล่าวนั้นแต่อย่างใด ทั้งในคดีร้องขัดทรัพย์นั้น โจทก์ในคดีนี้ก็หาได้เป็นคู่ความในคดีด้วยไม่เห็นได้ชัดว่า โจทก์ยังไม่ได้รับความเสียหาย ไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 ได้ ทั้งนี้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 103/2496

พิพากษายืน

Share