แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยสืบพยานของตนในประเด็นที่ศาลฎีกาย้อนสำนวนมาจนแถลงหมดพยานแล้วการที่ศาลฎีกาพิพากษาว่าให้ศาลแรงงานกลางทำการพิจารณาในประเด็นดังกล่าวและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีจึงหมายถึงให้พิจารณาพยานหลักฐานโจทก์จำเลยที่นำสืบกันมาแล้วในสำนวนแล้วพิพากษาใหม่เท่านั้น ที่ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยเสียเองเพราะเป็นกรณีต้องฟังข้อเท็จจริงอยู่ด้วยซึ่งศาลฎีกาจะวินิจฉัยเสียเองมิได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ มาตรา 56 วรรคสอง หาได้แสดงว่าศาลฎีกาประสงค์ให้สืบพยานเพิ่มเติมอีกไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้จ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำทำหน้าที่ผู้จัดการอู่ซ่อม ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่มีความผิดและมิได้บอกกล่าวล่วงหน้า ขอให้บังคับจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 9,550 บาทและค่าชดเชย 66,850 บาทแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยเสียหายฝ่าฝืนคำสั่งของจำเลยซึ่งเป็นกรณีร้ายแรง ละทิ้งหน้าที่การงาน ยุยงส่งเสริมให้พนักงานอื่นผละงาน จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ปล่อยรถไปโดยไม่เก็บค่าซ่อมบริการก่อนเป็นการใช้ดุลพินิจของโจทก์ ไม่ใช่การฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับหรือประมาทเลินเล่อ ถ้าจะฟังว่าโจทก์ปล่อยรถผิดพลาดไปบ้างก็เป็นการใช้ดุลพินิจผิดพลาดหาใช่เป็นการประมาทเลินเล่อไม่ ส่วนเหตุอื่นที่จำเลยยกขึ้นอ้างไม่ใช่สาเหตุในขณะเลิกจ้างจึงไม่ยกขึ้นวินิจฉัย พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเป็นเงิน 66,850 บาท
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ถ้าโจทก์ใช้ดุลพินิจปล่อยรถโดยไม่เก็บค่าซ่อมบริการก่อนโดยชอบด้วยเหตุผล การใช้ดุลพินิจของโจทก์ก็ไม่ถือว่าเป็นการประมาทเลินเล่อ แต่ถ้าใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยเหตุผลก็อาจเป็นประมาทเลินเล่อได้ การที่ศาลแรงงานไม่วินิจฉัยว่าโจทก์ใช้ดุลพินิจชอบหรือไม่ จึงยังไม่ชอบ พิพากษาแก้เป็นให้ยกคำพิพากษาของศาลแรงงานกลางในส่วนที่เกี่ยวกับประเด็นที่ว่า การกระทำของโจทก์เป็นการประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงหรือไม่ให้ทำการพิจารณาในประเด็นข้อนี้ต่อไปและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง
ศาลแรงงานกลางอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟัง และมีคำสั่งว่า คดีนี้ได้สืบพยานไปเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงให้นัดฟังคำพิพากษาเพิ่มเติมแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์มิได้ประมาทเลินเล่อ พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้าเป็นเงิน 66,850 บาท
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์จำเลยได้สืบพยานหลักฐานของตนในประเด็นที่ว่าโจทก์ได้กระทำโดยประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรงหรือไม่จนต่างแถลงว่าหมดพยานแล้ว ไม่มีเหตุที่จะให้คู่ความสืบพยานต่อไปอีก การที่ศาลฎีกาพิพากษาว่าให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาในประเด็นดังกล่าวและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จึงหมายถึงให้ศาลแรงงานกลางพิจารณาพยานหลักฐานโจทก์จำเลยที่นำสืบมาแล้วในสำนวนแล้วพิพากษาใหม่เท่านั้น การที่ศาลฎีกาพิพากษาให้ย้อนสำนวนโดยไม่วินิจฉัยเสียเองเพราะเป็นกรณีต้องฟังข้อเท็จจริงอยู่ด้วย ซึ่งศาลฎีกาจะวินิจฉัยเสียเองมิได้ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 56 วรรคสอง หาได้แสดงว่าศาลฎีกาประสงค์ให้สืบพยานหลักฐานเพิ่มเติมอีกดังจำเลยอ้างไม่ ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งว่า คดีได้สืบพยานกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงให้นัดฟังคำพิพากษาโดยมิได้สืบพยานต่อไปอีกจึงถูกต้องตามคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว
พิพากษายืน