แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลจะสั่งริบทรัพย์สินที่จำเลยมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดได้ ก็ต่อเมื่อมีการกระทำความผิดนั้นและโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดนั้นด้วย เมื่อไม่ปรากฏว่ามีความผิดฐานเสพ กัญชาเกิดขึ้น และโจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐาน เสพกัญชา โจทก์จะขอให้ศาลสั่งริบบ้องกัญชาและมีดสำหรับหั่นกัญชา ที่จำเลยมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานเสพกัญชาหาได้ไม่ แม้จำเลยจะรับสารภาพว่ามีทรัพย์ดังกล่าวไว้เพื่อใช้ในการกระทำ ความผิดฐานเสพกัญชา ศาลก็ไม่มีอำนาจสั่งริบ ศาลสั่งคืนให้แก่เจ้าของ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีกัญชา 1 ห่อ หนัก 4,320 กรัมไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมกัญชาดังกล่าวและได้บ้องกัญชา 1 อัน มีดสำหรับหั่นกัญชา 1 เล่มที่จำเลยมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานเสพกัญชา ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 26, 76 ที่แก้ไขแล้ว ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 และขอให้นับโทษต่อกับโทษของจำเลยในคดีอื่นกับให้ริบบ้องกัญชาและมีดของกลาง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 4, 7, 26, 76 ที่แก้ไขแล้ว ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33จำคุก 4 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 2 เดือน ส่วนบ้องกัญชาและมีดสำหรับหั่นกัญชาของกลาง มิใช่ทรัพย์หรือเครื่องมือเครื่องใช้ในการกระทำผิดฐานมีกัญชาตามที่โจทก์ฟ้อง ไม่ริบ ให้คืนแก่เจ้าของ โจทก์อุทธรณ์ให้ริบบ้องกัญชาและมีดสำหรับหั่นกัญชาของกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ริบบ้องกัญชาและมีดสำหรับหั่นกัญชาของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำเลยฎีกาขอให้ส่งคืนบ้องกัญชาและมีดของกลางแก่จำเลย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ศาลมีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินซึ่งบุคคลได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด เว้นแต่ทรัพย์สินเหล่านี้เป็นทรัพย์สินของผู้อื่นซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด คำว่า “มิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด” บ่งชี้ว่าต้องมีความผิดเกิดขึ้นศาลจึงจะมีอำนาจสั่งริบทรัพย์สินได้ นอกจากนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 18(5) การริบทรัพย์สินเป็นโทษอย่างหนึ่งสำหรับลงแก่ผู้กระทำความผิด จึงเห็นได้ว่าศาลจะสั่งริบทรัพย์สินที่จำเลยมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดได้ก็ต่อเมื่อมีการกระทำความผิดนั้น และโจทก์ต้องฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดนั้นด้วย ในคดีนี้ไม่ปรากฏว่ามีความผิดฐานเสพกัญชาเกิดขึ้น และโจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานเสพกัญชา โจทก์จะขอให้ศาลสั่งริบบ้องกัญชา และมีดสำหรับหั่นกัญชาที่จำเลยมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดฐานเสพกัญชาหาได้ไม่ มิฉะนั้นโจทก์ย่อมฟ้องจำเลยทั้งสำนวนเพื่อขอให้ริบทรัพย์สินเพียงประการเดียวโดยไม่ขอให้ลงโทษจำเลยก็ย่อมกระทำได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ด้วยเหตุผลดังกล่าวศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ศาลไม่มีอำนาจสั่งริบบ้องกัญชาและมีดของกลาง ที่ศาลชั้นต้นสั่งคืนของกลางแก่เจ้าของนั้นชอบแล้ว แต่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ทั้ง ๆ ที่ไม่สั่งริบของกลางนั้นไม่ถูกต้อง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนที่ให้ริบของกลางนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33 และไม่ริบบ้องกัญชาและมีดของกลาง แต่ให้คืนของกลางดังกล่าวแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์