คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1704/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมโจทก์ฟ้องขับไล่นางเจิมในคดีแดงที่ 722/2493 ศาลพิพากษาให้ขับไล่นางเจิม โจทก์อ้างว่าจำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นสามีภรรยาเป็นบริวารของนางเจิมขอให้ขับไล่ด้วย จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยไม่ใช่บริวารของนางเจิม นางอุไรภรรยาเป็นผู้เช่าจากนางเจิมได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ
โจทก์จึงฟ้องขอให้ขับไล่สามีที่สุดโจทก์กับสามีตกลงประนีประนอมยอมความกันที่ศาล คือโจทก์ยอมให้สามีเช่าอยู่ต่อไปอีก 2 ปี ครบกำหนดโจทก์ขอให้ศาลบังคับสามีและภรรยา สามียอมออกแต่ภรรยาไม่ยอมออก อ้างว่าตนเป็นผู้เช่าได้รับความคุ้มครอง คำพิพากษาย่อมไม่ผูกพันตนเพราะตนเป็นผู้เช่าสามีไม่มีอำนาจไปทำยอม และได้หย่าขาดจากสามีภรรยาก่อนศาลพิพากษาตามยอมแล้ว
ดังนี้แม้จะได้ความว่าภรรยามีชื่อเป็นผู้เช่า แต่ขณะนั้นสามีภรรยายังอยู่กินในห้องพิพาท เวลาทำสัญญาสามีก็มาด้วยและลงชื่อเป็นพยานในสัญญาเช่า เมื่อคราวศาลเรียกสามีภรรยามาสอบในคดีก่อนคือคดีแดงที่ 722/2493 ภรรยาทราบแต่ไม่มา สามีมาแถลงต่อศาลว่าตนกับภรรยาอยู่ในห้องโดยตนเป็นผู้เช่าจากนางเจิม เมื่อสามีทำยอมกับโจทก์ที่ศาล ภรรยาก็ทราบระหว่างนั้นภรรยายังนำค่าเช่ามาชำระให้โจทก์ด้วย พฤติการณ์ดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นชัดว่าภรรยายอมถือว่าสามีเป็นผู้เช่าห้องพิพาทภรรยาย่อมตกเป็นบริวาร ที่ภรรยาอ้างว่าหย่าขาดนั้นเป็นเพียงโล่ห์บังหน้าเพื่อเลี่ยงการบังคับ

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากห้องแถว ตำบลวัดกัลยาณีจังหวัดธนบุรี ห้องแถวนี้เดิมเป็นของนางเจิม แล้วต่อมาเป็นของโจทก์ โจทก์ได้ฟ้องขับไล่นางเจิมตามคดีแดงที่ 722/2493 แล้วได้ทำยอมกันและศาลบังคับให้นางเจิมออกจากห้องไปแล้วแต่ยังมีบริวารอยู่ในห้องอีก โจทก์ได้ขอให้ศาลเรียกบริวารมาสอบถามซึ่งมีนายถนัดจำเลยและนางอุไรผู้คัดค้านนี้รวมอยู่ด้วย นายถนัดมาศาลแต่นางอุไรไม่มา นายถนัดแถลงต่อศาลในคดีนั้นว่านางอุไรเป็นภรรยา ตนกับภรรยายังอยู่ในห้องพิพาทจริง แต่ไม่ได้อยู่ในฐานะบริวารของนางเจิมแต่เช่าจากนางเจิม ศาลแพ่งสั่งให้โจทก์ดำเนินคดีโจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ขึ้น

จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยมิได้เป็นบริวาร นางอุไรภรรยาจำเลยได้ทำสัญญาเช่ากับนางเจิม จำเลยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ

ในที่สุดนี้โจทก์จำเลยทำยอมกันโดยโจทก์ยอมให้จำเลยเช่าห้องรายพิพาทอยู่ต่อไปอีก 2 ปี

ครบกำหนดการเช่าตามยอมจำเลยไม่ยอมออกโจทก์มาร้องต่อศาลและศาลบังคับให้จำเลยออก ซึ่งจำเลยได้ออกไปแล้ว แต่นางอุไรผู้คัดค้านนี้ไม่ยอมออก โจทก์จึงร้องต่อศาลขอบังคับให้นางอุไรออกจากห้องพิพาทในฐานะเป็นบริวารของจำเลย

นางอุไรยื่นคำร้องคัดค้านว่าตนเช่ามา เข้าอยู่ในห้องพิพาทโดยอำนาจของนางอุไร แม้จำเลยจะเป็นสามีนางอุไรแต่ก็ได้จดทะเบียนขาดจากสามีภรรยาก่อนศาลพิพากษาตามยอมในคดีนี้ คำพิพากษาย่อมไม่ผูกพันตน

ศาลแพ่งไต่สวนแล้วเห็นว่านายถนัดจำเลยและนางอุไรดำเนินการหลบเลี่ยงการบังคับคดี โดยเปลี่ยนตัวกันสู้และเห็นว่าการทำสัญญาเช่ารายนี้ในขณะที่นายถนัดจำเลยอยู่กินเป็นสามีภรรยากับนางอุไร การทำสัญญานั้นนางอุไรทำแทนจำเลย เหตุนี้นางอุไรจึงต้องเป็นภรรยาของจำเลย จึงมีคำสั่งให้นางอุไรออกจากห้องพิพาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

นางอุไรฎีกาต่อมา

ศาลฎีกาเห็นว่าแม้จะปรากฏตามหนังสือสัญญาเช่าห้องพิพาทว่านางอุไรผู้คัดค้านมีชื่อเป็นผู้เช่าก็ดี แต่ขณะนั้นนางอุไรกับนายถนัดจำเลยเป็นสามีภรรยากันและอยู่ในห้องพิพาท เวลามาทำหนังสือเช่านายถนัดจำเลยก็มาด้วยและลงชื่อเป็นพยานในสัญญาคราวศาลเรียกนายถนัดจำเลยและนางอุไรมาสอบในคดีแดงที่ 722/2493 นางอุไรทราบแต่ไม่มา คงมาแต่นายถนัด นายถนัดก็แถลงว่าตนกับนางอุไรภรรยาอยู่ในห้องโดยตนเช่าห้องพิพาทมาจากนางเจิมยิ่งกว่านั้นเมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้และได้ทำยอมให้จำเลยเป็นผู้เช่าต่อไปอีกเพียง 2 ปีนั้น นางอุไรก็ทราบ ระหว่างนั้นนางอุไรยังได้นำค่าเช่ามาชำระให้โจทก์ด้วยตามพฤติการณ์แสดงให้เห็นชัดว่านางอุไรยอมถือว่านายถนัดจำเลยเป็นผู้เช่าห้องพิพาท นางอุไรย่อมตกเป็นบริวารของนายถนัดจำเลยที่นางอุไรอ้างว่าหย่าขาดกับนายถนัดจำเลยแล้วนั้นได้ความว่านางอุไรและจำเลยยังอยู่ในห้องพิพาทตลอด จำเลยเพิ่งออกไปเมื่อคราวถูกศาลบังคับให้ออก แต่ก็คงไปมาหาสู่ ทั้งนี้ส่อให้เห็นว่าที่อ้างว่าหย่าขาดกันนั้นเป็นเพียงโล่ห์บังหน้าเพื่อหลบเลี่ยงการบังคับ ฎีกานางอุไรฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share