แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำฟ้องที่กล่าวหาว่าจำเลยแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137,173 แม้โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่จำเลยแจ้งนั้นเป็นเท็จแต่เมื่อพิเคราะห์คำบรรยายฟ้องของโจทก์โดยตลอดแล้วมีความหมายอยู่ในตัวว่า เมื่อจำเลยแจ้งข้อความตามฟ้อง จำเลยรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่จำเลยแจ้งเป็นความเท็จ ก็ครบองค์ความผิดและสมบูรณ์แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2517 เวลากลางวัน จำเลยร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนว่า เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2517 โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยได้ยักยอกรถจักรยานสองล้อของจำเลยไป ซึ่งเป็นความเท็จความจริงจำเลยอนุญาตให้โจทก์ยืมรถดังกล่าวไปใช้และนัดให้โจทก์ไปรับเงินค่าจ้างจากจำเลยในวันที่ 3 มกราคม 2517 พร้อมกับให้โจทก์นำรถดังกล่าวมาคืนแต่จำเลยกลั่นแกล้งให้โจทก์ต้องรับโทษโดยกล่าวหาว่าโจทก์ทำรถดังกล่าวเสียหายและแจ้งความว่าโจทก์ยักยอกรถของจำเลย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 173
จำเลยให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137, 173 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียว ผิดกฎหมายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 173 อันเป็นบทหนัก ตามมาตรา 90 จำคุก 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 173 พิพากษายืน
จำเลยฎีกาโดยศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่จำเลยแจ้งนั้นเป็นเท็จเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่จำเลยแจ้งนั้นเป็นเท็จ แต่เมื่อพิเคราะห์คำบรรยายฟ้องโดยตลอดแล้วมีความหมายอยู่ในตัวว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิด คือ เมื่อจำเลยแจ้งข้อความตามฟ้อง จำเลยรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่จำเลยแจ้งเป็นความเท็จโจทก์จึงไม่ต้องบรรยายฟ้องอีกว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าข้อความนั้นเป็นเท็จฟ้องโจทก์จึงครบองค์ความผิดและสมบูรณ์แล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน