คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 170/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายขายที่ดินให้จำเลยราคาเท่าจำนวนเงินในเช็ค แต่ทำสัญญาจะซื้อขายกำหนดราคาเพิ่มขึ้นอีก 2 เท่าของจำนวนเงินในเช็คโดยรู้กันว่าเพื่อจะให้จำเลยวิ่งเต้นนำที่ดินไปจำนองธนาคารในราคาสูงกว่าที่ซื้อโดยไม่คิดจะไถ่จำนอง จำนวนเงินจำนองที่สูงกว่าจำนวนเงินในเช็คให้ตกเป็นของจำเลยผู้วิ่งเต้นจำนอง ทั้งนี้โดยผู้เสียหายรู้ดีว่าจำเลยไม่มีเงินฝากในธนาคารพอจ่าย และการออกเช็คก็เพื่อให้สมรูปกับการอำพรางว่ามีการวางมัดจำตามที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อขาย ผู้เห็นสัญญาจะได้เห็นจริงเห็นจังไปด้วย
เช็คฉบับนี้จะเกิดมูลหนี้ต่อกันก็เมื่อจำเลยทำจำนองได้เงินมาแล้วเท่านั้น เมื่อผู้เสียหายกลับนำเช็คไปขอรับเงินทั้งที่รู้ว่าจำเลยยังทำจำนองไม่ได้ ก็ต้องถือว่าเช็คยังไม่สมบูรณ์และยังไม่ถึงกำหนดจ่ายเงินตามเช็คนั้น จำเลยไม่ความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คด และไม่มีความผิดฐานออกเช็คโดยในขณะที่ออกไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงใช้เงินได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยออกเช็คสั่งจ่ายเงินให้แก่ผู้เสียหายเพื่อชำระเงินมัดจำตามสัญญาจะซื้อขายที่ดิน ต่อมาจำเลยผิดสัญญา ผู้เสียหายมีสิทธิริบเงินมัดจำตามเช็คดังกล่าว จึงนำเช็คไปขอรับเงินจากธนาคาร ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินโดยอ้างว่าไม่มีเงินอยู่ในบัญชีฝาก ทั้งนี้ โดยจำเลยออกเช็คโดยไม่มีเงินอยู่ในบัญชีฝากขณะออกเช็ค และออกเช็คโดยเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.๒๔๙๗ มาตรา ๓
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ออกเช็คให้ผู้เสียหายจริง แต่ออกให้โดยตกลงกันว่าผู้เสียหายจะไม่นำเช็คไปขึ้นเงินก่อนวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๐๔ เพราะผู้เสียหายรู้ดีว่าเช็คนั้นยังไม่มีเงินในธนาคาร ต้องรอให้จำเลยได้เงินจากธนาคารซึ่งจำเลยกำลังทำความตกลงขอกู้ไว้เสียก่อน ผู้เสียหายกลับนำเช็คไปขึ้นเงินทั้ง ๆ ที่ยังไม่ถึงกำหนดเวลานั้น และจำเลยยังติดต่อกับธนาคารไม่สำเร็จ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยทำผิดจริงตามที่โจทก์ฟ้อง พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย ๑ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้เสียหายจะขายที่ดินให้จำเลยราคาเท่าจำนวนเงินในเช็ค แตทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินแปลงเดียวกันนี้กำหนดราคาเพิ่มขึ้นอีกสองเท่าของจำนวนเงินในเช็คโดยรู้กันกับจำเลยว่าเพื่อจะให้จำเลยนำสัญญาซื้อขายไปวิ่งเต้นจำนองที่ดินแปลงนี้ไว้กับธนาคารในราคาสูงกว่าจำนวนเงินในเช็ค โดยไม่คิดจะไถ่จำนอง เมื่อได้เงินมาแล้วก็แบ่งให้ผู้เสียหายเท่ากับจำนวนเงินในเช็คเท่านั้น ส่วนเงินที่เกินไปมากน้อยเท่าใดก็เป็นของจำเลยผู้วิ่งเต้น ถ้าจำเลยวิ่งเต้นทำจำนองไม่ได้ตามที่คาดหมายกันไว้ก็ต้องเลิกล้ม ไม่มีการซื้อขายระหว่างจำเลยกับผู้เสียหายต่อไป และผู้เสียหายก็รู้อยู่ว่าจำเลยไม่อยู่ในฐานะที่จะมีเงินซื้อที่ดินรายนี้ได้ การที่จำเลยออกเช็คให้ผู้เสียหายก็เพื่อให้สมกับรูปการที่อำพรางว่ามีการวางเงินมัดจำตามที่ระบุในสัญญาจะซื้อขาย ผู้พบเห็นสัญญานั้นจะได้พลอยเห็นเป็นจริงจังไปด้วยและอาจจะให้มีขึ้นเพื่อผูกมัดจำเลยมิให้บิดพลิ้วเมื่อจำเลยได้รับเงินจากการจำนองแล้วด้วยก็ได้ รูปเรื่องดังนี้ศาลฎีกาเห็นว่า เช็คฉบับนี้จะเกิดมูลหนี้ต่อกันขึ้นก็ต่อเมื่อจำเลยทำจำนองที่ดินได้เงินมาสมประสงค์ของคู่สัญญาแล้ว ตราบใดที่จำเลยยังมิทันทำจำนองได้เงินมาก็ต้องถือว่าเช็คฉบับนี้ยังหามีมูลหนี้ต่อกันไม่ การที่ผู้เสียหายกลับนำเช็คไปขอรับเงินเมื่อภายหลังที่รับเช็คไว้จากจำเลยเพียง ๗-๘ วัน ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าจำเลยยังทำจำนองไม่ได้เช่นนี้ แม้จะมีเงินอยู่ในบัญชีฝากของจำเลยหรือไม่ก็ตาม ก็ต้องถือว่าเช็คยังไม่สมบูรณ์และยังไม่ถึงกำหนดจ่ายเงินตามเช็คนั้น จะปรับเป็นความผิดเอาโทษจำเลยทางอาญาฐานออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ฐานออกเช็คโดยในขณะที่ออกไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ก็ดี หาได้ไม่ เพราะถ้ารอเวลาให้จำเลยทำจำนองได้เงินมาแล้ว จำเลยอาจจัดให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้นเรียบร้อยไปก็ได้ หรือถ้าจำเลยวิ่งเต้นจำนองไม่สำเร็จข้อตกลงที่จะจ่ายเงินตามเช็คก็ต้องเลิกล้มขึ้นไป ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share