แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
อาวุธปืนกระบอกพิพาทเป็นของส.ผู้ตาย แม้เจ้าหน้าที่ตำรวจยึดไว้โดยอ้างว่าเป็นอาวุธปืนที่ ส.ใช้ในการกระทำความผิดอาญา ก็ยังคงเป็นทรัพย์ของ ส. อยู่จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของแผ่นดินก็ต่อเมื่อศาลมีคำสั่งให้ริบ เมื่อปรากฏว่าศาลไม่ได้พิพากษาให้ริบ อาวุธปืนกระบอกนี้จึงยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของ ส. ตลอดมาเมื่อส.ตายก็ตกเป็นมรดกแก่ทายาทของ ส. จำเลยไม่มีสิทธิใด ๆที่จะยึดปืนกระบอกนี้ไว้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นทายาทของนายสำรวย ปัตตะพงศ์ เจ้าพนักงานตำรวจนอกเครื่องแบบเข้าจับกุมนายสำรวยโดยไม่ได้แจ้งข้อหา นายสำรวยเข้าใจว่า เป็นคนร้ายเข้าปล้นทรัพย์ จึงใช้อาวุธปืนยิงป้องกันตัว นายสำรวยถูกเจ้าพนักงานตำรวจยิงถึงแก่ความตายอันเป็นการละเมิด ขอให้จำเลยซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของเจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าวใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ และคืนอาวุธปืนของนายสำรวยที่ถูกเจ้าพนักงานตำรวจยึดไปแก่โจทก์ด้วย
จำเลยให้การว่า นายสำรวยใช้อาวุธปืนยิงต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ เจ้าพนักงานตำรวจจึงยิงป้องกันตัว ไม่เป็นการละเมิด และอาวุธปืนที่นายสำรวยใช้ยิงเจ้าพนักงานตำรวจนั้นเป็นทรัพย์ที่นายสำรวยใช้ในการกระทำความผิดจึงเป็นทรัพย์ที่ต้องริบและตกเป็นของแผ่นดิน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยคืนอาวุธปืนตามฟ้องแก่โจทก์ถ้าไม่สามารถคืนได้ก็ให้ใช้ราคาแทน คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า อาวุธปืนกระบอกนี้เป็นทรัพย์ของนายสำรวยแม้ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยึดไปว่าเป็นทรัพย์ที่นายสำรวจใช้ในการกระทำผิด ก็ยังเป็นทรัพย์ของนายสำรวยอยู่นั่นเอง การริบทรัพย์ซึ่งเมื่อริบแล้วทรัพย์นั้นจะต้องตกเป็นของแผ่นดินเป็นอำนาจของศาล ปรากฏชัดในฎีกาของจำเลยว่าศาลไม่ได้พิพากษาริบอาวุธปืนกระบอกนี้ อาวุธปืนนี้จึงยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของนายสำรวยตลอดมา เมื่อนายสำรวยตายก็ต้องตกเป็นมรดกแก่ทายาทของนายสำรวย จำเลยไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะยึดอาวุธปืนกระบอกนี้ไว้
พิพากษายืน