คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1698/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350มิได้ถือเอาคำพิพากษาของศาลให้รับผิดในทางแพ่งเป็นองค์ประกอบความผิดทางอาญา องค์ประกอบความผิดทางอาญาของมาตรานี้อยู่ที่ว่าผู้กระทำเพียงแต่รู้ว่าเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ได้ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้นหรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใด แกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำนวนใดอันไม่เป็นความจริงเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ก็เป็นความผิดแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้โอนขายรถยนต์บรรทุกสิบล้อให้แก่นางวันดี เสียงดี โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่า โจทก์ทั้งสองกำลังใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลโดยการฟ้องคดีละเมิดเพื่อบังคับให้จำเลยชำระหนี้จำนวน 350,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยกระทำการดังกล่าวโดยเจตนาที่จะไม่ให้โจทก์ทั้งสองได้รับการชำระหนี้ เพราะจำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่นใดอีก ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์มีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 ลงโทษจำคุก 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่26 พฤษภาคม 2525 ลูกจ้างของจำเลยได้ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อของจำเลยในทางการที่จ้างชนท้ายรถยนต์สามล้อเป็นเหตุให้นายสมัครสามีโจทก์ที่ 1 ซึ่งขับขี่รถยนต์สามล้อคันดังกล่าวถึงแก่ความตายโจทก์ทั้งสองได้ฟ้องจำเลยกับพวกต่อศาลแพ่งเรียกค่าเสียหายโดยจำเลยได้รับหมายนัดพร้อมสำเนาคำร้องและคำฟ้อง วันที่ 27มกราคม 2526 ต่อมาวันที่ 30 พฤษภาคม 2526 จำเลยได้โอนทางทะเบียนขายรถยนต์บรรทุกสิบล้อคันเกิดเหตุให้แก่นางวันดี เสียงดีศาลแพ่งได้พิพากษาคดีถึงที่สุดให้จำเลยกับพวกร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสองเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2527 ส่วนคดีนี้ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์ทั้งหมด โดยวินิจฉัยในปัญหาข้อกฎหมายว่าข้ออ้างที่โจทก์ทั้งสองอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยกับพวกเป็นคดีแพ่งสืบเนื่องมาจากมูลละเมิดกรณียังไม่เป็นที่แน่นอนว่าโจทก์ทั้งสองจะเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยหรือไม่ การที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยกับพวกเป็นคดีแพ่งดังกล่าวโดยศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำพิพากษาว่าจำเลยต้องรับผิดชำระเงินให้โจทก์ทั้งสอง แม้จำเลยโอนขายรถยนต์ให้แก่บุคคลอื่นก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 350 คดีไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยข้ออื่นอีกต่อไปนั้นเห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 206 ได้บัญญัติไว้ว่า “ในกรณีหนี้อันเกิดแต่มูลละเมิด ลูกหนี้ได้ชื่อว่าผิดนัดมาแต่เวลาที่ทำละเมิด” แสดงว่าสภาพการเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ระหว่างผู้ถูกละเมิดคือโจทก์และผู้ต้องรับผิดจากมูลละเมิดคือจำเลย เกิดขึ้นทันทีที่มีการทำละเมิดขึ้น คำพิพากษาของศาลที่บังคับให้มีการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่กันมิได้เป็นการก่อให้เกิดหนี้ระหว่างโจทก์จำเลยแต่เป็นการบังคับตามความรับผิดแห่งหนี้ที่โจทก์ทั้งสองกับจำเลยได้มีต่อกัน ดังนั้นถือว่าจำเลยเป็นลูกหนี้โจทก์นับแต่ขณะที่ลูกจ้างของจำเลยขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อชนท้ายรถยนต์สามล้อที่สามีโจทก์ที่ 1 ขับขี่แล้ว ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 ก็บัญญัติไว้ว่า”ผู้ใดเพื่อมิให้เจ้าหนี้ของตนหรือของผู้อื่นได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ซึ่งได้ใช้หรือจะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้ย้ายไปเสีย ซ่อนเร้นหรือโอนไปให้แก่ผู้อื่นซึ่งทรัพย์ใดก็ดีแกล้งให้ตนเองเป็นหนี้จำนวนใดอันไม่เป็นความจริงก็ดี ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ”จะเห็นได้ว่า ความผิดตามมาตรานี้มิได้ถือเอาคำพิพากษาของศาลให้รับผิดในทางแพ่งมาเป็นองค์ประกอบความผิดในทางอาญา ทั้งยังบัญญัติไว้ชัดเจนว่าเพียงแต่รู้ว่าเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลแล้วกระทำการดังกล่าวก็ถือว่าเป็นความผิดแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาจึงไม่เห็นพ้องด้วย และศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลย จึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยต่อไป
พิพากษากลับ ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share