คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1697/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นผู้เสียหายในคดีที่อัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 7 เป็นโจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 1 ในคดีอาญา โจทก์และจำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันตามคำพิพากษา ในคดีอาญานั้นตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ข้อเท็จจริงในคดีอาญาฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 รับของโจร สายไฟฟ้าจำนวน 168 เมตร จะต้องรับผิดชำระเงินให้แก่โจทก์ 2,360 บาท ดังนั้นเมื่อ จำเลยที่ 2 ในฐานะบิดาของ จำเลยที่ 1(ผู้เยาว์) ถูกฟ้องให้รับผิด ในทางแพ่ง จำเลยที่ 2 คงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในจำนวนเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429 แม้จำเลยที่ 2 จะเคยทำหนังสือรับชดใช้ค่าเสียหาย ให้แก่โจทก์ไว้เป็น จำนวนเงิน 14,463 บาท 75 สตางค์ ก็ตาม จำเลยที่ 2 ก็หาต้องรับผิด ตามจำนวนเงินใน หนังสือดังกล่าวไม่ เพราะเกินจำนวนเงินที่จำเลยที่ 2จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ตามกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ลักสายไฟฟ้าอะลูมิเนียม ยาว 1,015 เมตรราคา 14,463.75 บาท ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจจับจำเลยที่ 1 ได้ขณะนำสายไฟฟ้าบางส่วนไปขาย จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนว่าได้ลักสายไฟฟ้าจำนวนดังกล่าวไปจริง แต่ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานรับของโจร จำเลยที่ 1 เป็นผู้เยาว์ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบิดาต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงได้ทำหนังสือรับชดใช้ค่าเสียหายชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 เมื่อถึงกำหนดจำเลยผิดนัด จึงขอให้ศาลบังคับ

จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้ลักสายไฟ้า 1,015 เมตร ราคา14,463.75 บาทตามฟ้อง คงรับของโจรสายไฟฟ้ายาว 168 เมตร ราคา 3,380.40บาท เท่านั้น หากจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดก็รับผิดเท่าจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ทำหนังสือรับชำระหนี้ต่อโจทก์ด้วยความหลงผิด จึงเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน13,463.75 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดเป็นเงิน2,360 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาข้อแรกของโจทก์มีว่า ศาลต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 37/2523 ของศาลมณฑลทหารบกี่ 7 (ศาลจังหวัดเชียงใหม่ อำเภอฝาง) มาผูกพันโจทก์คดีนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 หรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนว่าลักสายไฟฟ้าจำนวน 1,015 เมตรแต่ในชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานรับของโจร ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ทันที โดยที่โจทก์ยังไม่ได้สืบพยานให้ปรากฏแก่ศาลถึงความผิดที่ได้กระทำลง และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคโจทก์คดีนี้มิได้มีฐานะเป็นคู่ความตามกฎหมายในคดีอาญาดังกล่าว กรณีจึงไม่ต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคดีอาญานั้น พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคโจทก์คดีนี้จะไม่ใช่คู่ความ แต่ก็เป็นผู้เสียหายในคดีอาญาดังกล่าว โจทก์ จำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีอาญานั้นด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 46 และปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ให้การรับสารภาพข้อหารับของโจร ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 และลงโทษจำเลยที่ 1 คดีถึงที่สุดแล้วข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญาจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 รับของโจรสายไฟฟ้าจำนวน 168 เมตรแน่นอนแล้ว จะฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้ว่าจำเลยที่ 1 ลักสายไฟฟ้าจำนวน 1,015 เมตรให้ขัดกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาหาได้ไม่ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาวินิจฉัยข้อต่อไปมีว่า จำเลยทั้งสองจะต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ตามฟ้องตามที่จำเลยที่ 2 ได้ทำหนังสือรับชดใช้ค่าเสียหายไว้แก่โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.3 หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 รับของโจรสายไฟฟ้าจำนวน 168 เมตร จะต้องรับผิดชำระเงินให้โจทก์2,360 บาท ดังนั้น จำเลยที่ 2 ในฐานะบิดาของจำเลยที่ 1 คงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวนดังกล่าวให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 429 หาต้องรับผิดตามจำนวนเงินในหนังสือรับชดใช้ค่าเสียหายตามเอกสารหมาย จ.3 ไม่ เพราะเกินจำนวนเงินที่จำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ตามกฎหมาย

พิพากษายืน

Share