แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ นอกจากเบี้ยปรับตามที่กำหนดกันไว้ในสัญญาแล้ว เจ้าหนี้ยังมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายที่เสียไป เกินจากที่กำหนดเป็นเบี้ยปรับกันไว้ได้อีก ตามมาตรา 380 วรรคสอง
เจ้าหนี้ฟ้องผู้ค้ำประกันให้รับผิดแทนลูกหนี้ เพราะลูกหนี้ไม่ชำระหนี้แก่เจ้าหนี้และอ้างว่าลูกหนี้ไม่มีทรัพย์สินพอชำระหนี้ เมื่อไม่ปรากฏว่า ลูกหนี้อยู่แห่งใด ผู้ค้ำประกันพิสูจน์ไม่ได้ว่า ลูกหนี้มีทางที่จะชำระหนี้ได้ และพิสูจน์ไม่ได้ว่าการที่จะบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้ไม่เป็นการยาก ดังนั้นผู้ค้ำประกันจึงไม่พ้นจากความรับผิด
ย่อยาว
คดีได้ความว่า นายสำรวย ทำสัญญาจะส่งฟืนให้โรงงานน้ำตาลไทยอุดร3,000 ลูกบาศก์เมตร ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2490 ถ้าส่งขาดนายสำรวยยอมจ่ายค่าเสียหายให้ลูกบากศก์เมตรละ 3 บาท ตามจำนวนที่ขาด ส่วนจำเลยนี้ทำสัญญาให้ไว้มีข้อความว่า จำเลยขอรับรองให้นายสำรวยปฏิบัติตามสัญญาที่กล่าวแล้ว หากนายสำรวยไม่สามารถปฏิบัติได้ตามสัญญาที่กล่าวแล้ว จำเลยยอมชดใช้ค่าเสียหายซึ่งโรงงานน้ำตาลไทยจะได้เรียกจากนายสำรวยเมื่อทำสัญญากันแล้วนายสำรวยก็ส่งฟืนให้แก่โรงงานน้ำตาลไทย แต่ส่งได้ไม่ครบตามสัญญายังขาดอยู่ นายสำรวยหยุดส่ง ไม่ปฏิบัติตามสัญญา
โจทก์จึงฟ้องจำเลยผู้ค้ำประกันให้ใช้ค่าปรับและค่าเสียหาย
จำเลยต่อสู้หลายประการ
ศาลชั้นต้น เห็นว่า นายสำรวยไม่อยู่เป็นหลักแหล่ง และไม่มีทรัพย์สิน จำเลยจึงต้องรับผิด ในค่าเสียหายที่กำหนดไว้ คือ3 บาทต่อหนึ่งลูกบาศก์เมตรตามจำนวนที่ขาดโจทก์จะเรียกเกินจากนั้นไม่ได้ พิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ 5,812 บาท 38 สตางค์
โจทก์ จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์เรียกค่าเสียหายเพิ่มขึ้นได้ ไม่ใช่เพียงแต่เมตรละ 3 บาท จึงพิพากษาแก้ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ 7,312 บาท 38 สตางค์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า นายสำรวยอยู่แห่งใดไม่ปรากฏ หาตัวก็ไม่พบจำเลยก็พิสูจน์ไม่ได้ว่า นายสำรวยมีทางที่จะชำระหนี้ได้ และบังคับให้นายสำรวยชำระหนี้ไม่เป็นการยาก ดังนั้นจำเลยจึงไม่พ้นจากความรับผิด
ส่วนค่าเสียหายนั้น โจทก์ได้พิสูจน์ได้ว่า เนื่องจากนายสำรวยผิดสัญญา โจทก์ต้องเสียหายเกินจากที่กำหนดไว้เป็นเบี้ยปรับกันไว้ ค่าเสียหายที่เกินเช่นนี้ โจทก์มีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 380 วรรค 2 ศาลอุทธรณ์บังคับให้จำเลยใช้ชอบแล้ว
พิพากษายืน