แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สินค้าสำเร็จรูปตามความหมายแห่งประมวลรัษฎากร มาตรา 77.หมายถึงสิ่งใดๆ ซึ่งอาจใช้อุปโภคหรือบริโภคได้ทันทีโดยไม่ต้องเอาสิ่งนั้นไปปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงหรือผสมกับสิ่งใดอีก. การพิจารณาว่าสิ่งใดอาจใช้สอยได้ทันทีหรือไม่ต้องพิจารณาจากการใช้ในสภาพปกติ. เพราะวัตถุไม่สำเร็จรูปก็อาจใช้ได้ทันทีเหมือนกัน. หากเป็นการใช้ในสภาพของวัตถุไม่สำเร็จรูป โดยต้องมีการเปลี่ยนแปลงหรือผสมกับสิ่งอื่นเสียก่อนจนเปลี่ยนจากสภาพปกติหรือสภาพเดิม. ย่อมถือไม่ได้ว่าเป็นสินค้าสำเร็จรูป.
หัวน้ำหอม ซึ่งสั่งจากต่างประเทศเพื่อใช้แต่งกลิ่นวัตถุอื่น ตามสภาพไม่อาจใช้อุปโภคบริโภคได้ทันที. การใช้ทาผิวหนังเกิดโทษ อาจเป็นผื่นคันระคายแก่ผิวหนัง. การใช้อบวัตถุก็มีความระเหยเร็ว ไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร.ดังนี้ย่อมไม่เป็นสินค้าสำเร็จรูป.
ชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่า ในเรื่องอัตรากำไรมาตรฐาน. โจทก์ได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือไม่ โจทก์มีอำนาจฟ้องในประเด็นข้อนี้หรือไม่. แล้วมีคำสั่งว่าจำเลยให้การรับตามฟ้องของโจทก์แล้วว่า โจทก์ได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินแล้ว.โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง ยุติไม่ต้องสืบพยานในข้อนี้. คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226. เพราะศาลชั้นต้นถือว่า จำเลยรับข้อเท็จจริงตามฟ้องไม่จำต้องสืบพยาน มิใช่คำสั่งชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตาม มาตรา 24ซึ่งอยู่ในบังคับแห่งมาตรา 228 ดังนั้นเมื่อจำเลยมิได้แถลงโต้แย้งไว้ย่อมไม่มีสิทธิยกประเด็นข้อนี้ขึ้นอุทธรณ์ฎีกา.
หัวน้ำหอมผสมโดยสภาพมีกลิ่นหอม นับได้ว่าเป็นเครื่องหอมชนิดหนึ่งจึงต้องใช้อัตรากำไรมาตรฐานคำนวณรายรับเพื่อเสียภาษีการค้าอย่างเดียวกับหัวน้ำหอมหรือเครื่องหอม ตามบัญชีอัตรากำไรมาตรฐานฯท้ายประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีการค้าฉบับที่ 4 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยฉบับที่ 5 ข้อ 12.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์สั่งหัวน้ำมันหอมผสมจากต่างประเทศมาใช้ผสมสบู่และเครื่องสำอางที่โจทก์ผลิตจำหน่ายเจ้าพนักงานประเมินภาษีการค้าของจำเลยที่ 1 ได้แจ้งการประเมินว่า โจทก์เสียภาษีการค้าอย่างสินค้าไม่สำเร็จรูปอัตราร้อยละ 1.5 ไม่ถูกต้องโดยอ้างว่าหัวน้ำมันหอมผสมเป็นสินค้าสำเร็จรูปต้องเสียภาษีการค้าร้อยละ 5และการคำนวณรายรับเพื่อเสียภาษี ต้องใช้อัตรากำไรมาตรฐานร้อยละ 30โจทก์เห็นว่าการประเมินไม่ชอบ จึงอุทธรณ์ต่อจำเลยที่ 2, 3, 4 ซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการประเมินถูกต้อง แต่ให้งดเบี้ยปรับโจทก์ยังไม่เห็นด้วย ขอให้พิพากษาเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์และคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมิน จำเลยต่อสู้ว่า การประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ชอบแล้ว และตัดฟ้องว่า โจทก์มิได้อุทธรณ์เกี่ยวกับอัตรากำไรมาตรฐานต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลชั้นต้นฟังว่า หัวน้ำมันหอมผสมเป็นสินค้าสำเร็จรูป แต่ต้องใช้อัตรากำไรมาตรฐานร้อยละ 10 ตามบัญชีอัตรากำไรฯ ข้อ 19 พิพากษาเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์กับคำสั่งเจ้าพนักงานประเมินเกี่ยวกับสินค้ารายพิพาทเฉพาะที่ใช้อัตรากำไรมาตรฐานร้อยละ 30 เป็นให้ใช้อัตราร้อยละ 10 คำขออื่นให้ยก โจทก์จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์จำเลยฎีกาต่อมา ปัญหาที่ว่า หัวน้ำมันหอมรายพิพาท เป็นสินค้าสำเร็จรูปหรือไม่นั้น ประมวลรัษฎากรมาตรา 77 บัญญัติว่า สินค้าสำเร็จรูปคือสินค้าซึ่งตามสภาพอาจอุปโภคหรือบริโภคได้ โดยไม่จำต้องเปลี่ยนหรือดัดแปลงหรือนำไปผสมกับสิ่งอื่น ศาลฎีกาเห็นว่า สินค้าสำเร็จรูปหมายถึงสิ่งใด ๆ ก็ตามที่อาจใช้อุปโภค (ใช้สอย) หรือบริโภค (กิน) ได้ทันที โดยไม่ต้องเอาสิ่งของนั้นไปปรุงแต่งเปลี่ยนแปลงหรือผสมกับสิ่งใดอีก ถ้าเป็นของใช้ก็ใช้สอยได้ทันที แต่การพิจารณาว่าสิ่งใดอาจใช้สอยได้ทันทีหรือไม่จำต้องพิจารณาจากการใช้ในสภาพปกติ เพราะวัตถุไม่สำเร็จรูปก็อาจนำมาใช้ได้ทันทีเช่นเดียวกับวัตถุสำเร็จรูป เช่นนำวัตถุไม่สำเร็จรูปไปผสมสิ่งอื่น เพื่อผลิตสินค้าอย่างอื่นก็อาจเรียกได้ว่า วัตถุไม่สำเร็จรูปนั้นใช้ได้ทันทีเหมือนกัน แต่นั่นมิใช่เป็นการใช้ในสภาพของวัตถุสำเร็จรูป หากเป็นการใช้ในสภาพของวัตถุไม่สำเร็จรูปหรือวัตถุดิบ คือต้องมีการเปลี่ยนแปลงหรือผสมกับสิ่งอื่นเสียก่อน จนวัตถุสิ่งนั้นเปลี่ยนจากสภาพปกติหรือสภาพเดิม จึงถือไม่ได้ว่าสิ่งนั้นเป็นสินค้าสำเร็จรูปตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77 ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ตามสภาพหัวน้ำมันหอมไม่อาจใช้อุปโภคบริโภคได้ทันที การใช้ทาผิวหนังเกิดโทษ อาจเป็นผื่นคันระคายแก่ผิวหนัง การใช้อบวัตถุก็มีความระเหยเร็ว ไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควรโจทก์สั่งเข้ามาเพื่อใช้ผลิตสบู่หอมและเครื่องสำอางมิได้เคยนำไปขายโดยตรง แม้ตามใบขนสินค้าขาเข้าของกรมศุลกากรก็เรียกว่าหัวน้ำมันหอมผสม แสดงว่านำไปใช้ผสมเพื่อแต่งกลิ่นวัตถุอื่น ศาลฎีกาเห็นว่า หัวน้ำมันหอมไม่เป็นสินค้าสำเร็จรูปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยตัดฟ้องว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นกรณีมีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่จะต้องพิจารณาก่อนถึงปัญหาโดยตรงโดยปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นในวันชี้สองสถาน กำหนดประเด็นข้อหนึ่งว่า ในเรื่องอัตรากำไรมาตรฐาน โจทก์ได้อุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือไม่ โจทก์มีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับประเด็นนี้หรือไม่ ศาลชั้นต้นเห็นว่า “เมื่อโจทก์กล่าวในฟ้องข้อ 5 ว่า โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ทุกคราว และจำเลยได้ให้การในข้อ 3 ว่าฟ้องข้อ 5 ของโจทก์เป็นความจริง และภาพถ่ายท้ายฟ้องก็ถูกต้อง ดังนี้จึงเท่ากับจำเลยรับว่า โจทก์ได้คัดค้านการประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเมื่อคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์แล้ว จึงยุติไม่ต้องสืบพยานในข้อนี้ปรากฏว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายมิได้แถลงโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว ปัญหาที่จะวินิจฉัยมีว่า คำสั่งศาลชั้นต้นนั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 หรือคำสั่งชี้ขาดในปัญหาข้อกฎหมายเบื้องต้นตาม มาตรา 24 ซึ่งอยู่ภายในบังคับแห่งมาตรา 228 แม้จะไม่แถลงโต้แย้ง ก็อุทธรณ์ฎีกาได้ ศาลฎีกาเห็นว่า กรณีนี้ศาลชั้นต้นถือว่าจำเลยรับข้อเท็จจริงตามฟ้อง ไม่จำต้องสืบพยาน จึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เมื่อจำเลยมิได้แถลงโต้แย้งคำสั่งนั้นไว้ จำเลยก็ไม่มีสิทธิยกประเด็นข้อนี้ขึ้นอุทธรณ์ฎีกาตามมาตรา 226(2) ปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า สินค้าหัวน้ำมันรายพิพาทควรใช้อัตรากำไรมาตรฐานร้อยละ 30 เพราะหัวน้ำมันหอมก็คือหัวน้ำหอมหรือเครื่องหอมตามบัญชีท้ายประกาศของอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีการค้าฉบับที่ 4 แก้ไขเพิ่มเติมโดยฉบับที่ 5 ข้อ 12 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า หัวน้ำมันหอมตามศัพท์หรือตามสภาพที่เป็นจริงหรือตามข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบนั้นมีกลิ่นหอม นับได้ว่าเป็นเครื่องหอมชนิดหนึ่ง ซึ่งจะต้องใช้อัตรากำไรมาตรฐานคำนวณรายรับเพื่อเสียภาษีการค้าอย่างเดียวกับหัวน้ำหอมหรือเครื่องหอมตามบัญชีท้ายประกาศของอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีการค้าฉบับที่ 4 แก้ไขเพิ่มเติมโดยฉบับที่ 5 ข้อ 12 พิพากษากลับเป็นว่า ให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2ถึงที่ 4 กับคำสั่งเจ้าพนักงานประเมินภาษีการค้าเฉพาะส่วนที่วินิจฉัยสั่งให้โจทก์เสียภาษีการค้าสำหรับสินค้าหัวน้ำมันหอมผสมในอัตราร้อยละ 5 ฟ้องข้ออื่นให้ยก.